CENTEL ครึ่งปีแรก 2563 ขาดทุนกว่า 500 ล้านบาท หลังเจอพิษ COVID-19 กระทบหนัก | Techsauce

CENTEL ครึ่งปีแรก 2563 ขาดทุนกว่า 500 ล้านบาท หลังเจอพิษ COVID-19 กระทบหนัก

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า จำกัด (มหาชน) หรือ  CENTEL รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2563 โดยบริษัทฯมีรายได้รวม 6,937.6 ล้านบาท ลดลง 3,931.0 ล้านบาท หรือ 36.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 10,868.6 ล้านบาท โดยสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจโรงแรมต่อรายได้จากธุรกิจอาหาร อยู่ที่ 28% : 72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจะอยู่ที่ 44% : 56%

centel

ทั้งนี้ใน 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 510.6 ล้านบาท ลดลง 1,568.9 ล้านบาท หรือ 148.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษการตั้งสํารองด้อยค่าของสินทรัพย์, เงินชดเชยความเสียหายจากประกัน (สุทธิจากภาษี เงินได้), ผลกระทบการตั้งสํารองผลประโยชน์ระยะยาวของพนักงานตามกฎหมายแรงงานใหม่ และไม่รวมผลของการ เปลี่ยนแปลงมาตรฐานการบัญชี บริษัทฯจะมีขาดทุนสุทธิจากการดําเนินงานปกติ 518.2 ล้านบาท ลดลง 1,554 ล้าน บาท หรือลดลง 150.0%

วิเคราะห์ผลการดำเนินงานรายธุรกิจ

ธุรกิจโรงแรม 

มาตรการปิดเมืองปิดประเทศในช่วงต้นไตรมาส 2 ส่งผลต่อธุรกิจท่องเที่ยวอย่างมาก เนื่องจากการท่องเที่ยว และการโรงแรมไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่าวชาติเป็นหลัก ทั้งนี้โรงแรมในเครือเซ็นทาราที่บริษัทลงทุนเองได้เริ่มทยอยปิดชั่วคราวในเดือนเมษายนทั้ง 16 โรงแรม คงเหลือไว้แต่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอก คอนเวนชันเซ็น เตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อรองรับบุคคลากรทางการแพทย์ และโรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการ และคอนเวน ชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ ได้เปิดให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าบริษัทเอกชนเป็นหลัก

อย่างไรก็ดี จากมาตรการที่เข้มงวดของภาครัฐในการควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 สามารถควบคุมสถานการณ์ การแพร่ระบาดได้ตามลําดับ และต้นเดือนพฤษภาคม 2563 รัฐบาลเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองต่าง ๆ ในเดือน มิถุนายน 2563 บริษัทฯ ได้เริ่มทยอยเปิดดําเนินการโรงแรมที่ลงทุนเอง โดยเปิดโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รี สอร์ท พัทยา เป็นแห่งแรก

โดยธุรกิจโรงแรมในช่วง 6 เดือนแรกของปี  2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,935.7 ล้านบาท ลดลง 2,820.7 ล้านบาท หรือลดลง 59.3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราการเข้าพัก (OCC) ลดลง จาก 78.1% เป็น 31.4% ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ย (ARR) เพิ่มขึ้น 5.3% เทียบปีก่อนอยู่ที่ 5,100 บาท ส่งผลให้รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPar) ลดลง 57.7% เทียบปีก่อนอยู่ที่ 1,600 บาท

กรุงเทพฯ : รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPar) ลดลง 72.0% อยู่ที่ 681 บาท เนื่องจากการลดลงของอัตราการเข้าพัก (OCC) จาก 78.6% เป็น 26.5% ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ย อยู่ที่ 2,570 บาท ลดลง 16.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

ต่างจังหวัด: รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPar) ลดลง 53.8% เป็น 1,555 บาท เป็นผลจากอัตราการเข้าพัก (OCC) ลดลง 17.1% เป็น 33.4% ขณะที่ราคาห้องพักเฉลี่ย (ARR) เพิ่มขึ้น 6.5% เป็น 4,648 บาท 

มัลดีฟส์: รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPar) ลดลง 55.0% เทียบกับปีก่อนโดยอัตราการ เข้าพัก (OCC) ลดลงจาก 85.9% เป็น 35.5% แต่ราคาห้องพักเฉลี่ย (ARR) เพิ่มขึ้น 8.9% เทียบกับปีก่อน เป็น 18,979 บาท ทั้งนี้ หากพิจารณาในสกุลดอลลาร์สหรัฐ รายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPar) ลดลง 54.2% เทียบกับปีที่ผ่านมา

ธุรกิจอาหาร 

บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจอาหารรวม 5,001.8 ล้านบาท ลดลง 1,110.4 ล้านบาท หรือลดลง 18.2% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2562 การลดลงจากรายได้เป็นผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ในไตรมาส 2 เป็นหลัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลดลงของยอดขายของสาขาเดิม (Same-Store-Sales : SSS) ซึ่งมีอัตราการลดลงเฉลี่ย 23% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ -2.8% โดยยอดขายรวมของ 4 แบรนด์หลัก (Total-System Sales: TSS) มีอัตราการลดลงอยู่ที่ 16% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

รายงานตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า (TFRS 16) บริษัทฯ มีกําไรก่อน ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจําหน่าย ดอกเบี้ยจ่าย และภาษีเงินได้ (EBITDA) อยู่ที่ 1,120.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนต่อรายได้รวม (% EBITDA) อยู่ที่ 22.4% และ มีขาดทุนสุทธิจากการดําเนินงาน 5.8 ล้านบาท โดยในภาพรวมผลกระทบจากการรายงานตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า (TFRS 16) ทําให้บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ ลดลง ทั้งสิ้น 61.9 ล้านบาท

ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการดําเนินงานปี 2563

การบริหารจัดการสภาพคล่อง 

บริษัทฯ ได้ดําเนินการขอวงเงินสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ ทั้งวงเงินกู้ระยะสั้นและระยะยาวรวม 5.5 พันล้านบาท โดยมีวงเงินที่ยังไม่เบิกรวมประมาณ 4.0 พันล้านบาท ประกอบกับเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่สามารถใช้ได้ประมาณ 2.9 พันล้านบาท ณ 30 มิถุนายน 2563 ซึ่งเพียงพอในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายสําหรับกิจกรรมในการดําเนินงานกรณีสถานการณ์การแพร่ ระบาดยังคงไม่คลี่คลายไปจนถึงกลางปีหน้า

ธุรกิจโรงแรม 

ได้รับการต่อสัญญาเช่าที่ดิน อาคาร และทรัพย์สินของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทและวิลลา หัวหินกับการรถไฟแห่งประเทศไทยภายหลังสิ้นสุดสัญญาวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 อีก 2 ปี สิ้นสุด 15 พฤษภาคม 2565 โดยอัตราค่าเช่าใหม่ปรับเพิ่มขึ้น 5% ต่อปีจากอัตราเดิม และมีเงื่อนไขส่วนลดค่าเช่า หากผลการดําเนินงานของโรงแรมสะสมยังคงติดลบ โดยส่วนลดค่าเช่าสูงสุด 50% ภายในระยะเวลา 1 ปีแรก และส่วนลดค่าเช่าสูงสุด 30% ในอีก 6 เดือนถัดไป 

การปิดปรับปรุงโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บีชรีสอร์ท สมุย คาดว่าจะเปิดดําเนินการในไตรมาส 1 ปี 2554 หลังปิดปรับปรุงตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2562 ปัจจุบันความคืบหน้างานก่อสร้างประมาณ 50% โดยมี ปรับเปลี่ยนจากเดิมโรงแรมระดับ Upper Upscale เป็นโรงแรมระดับ Luxury ด้วยจํานวนห้องลดลงจากเดิม 203 ห้องเป็น 184 ห้อง เนื่องจากการปรับเพิ่มขนาดห้องพักให้ใหญ่ขึ้น 

ทยอยปิดปรับปรุงห้องพักโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอก คอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ จํานวน 512 ห้อง ต่อเนื่องตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 ปัจจุบันความคืบหน้างานก่อสร้างประมาณ 56% โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในภายในสิ้นปี 2563 

บริษัทได้เริ่มทยอยเปิดดําเนินการโรงแรมตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตามที่ได้กล่าวข้างต้น โดยหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดูจากจํานวนการจองห้องพักล่วงหน้า ประกอบกับประมาณการกําไรขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งหากเปิดดําเนินการแล้วโรงแรมนั้นจะต้องมีผลการดําเนินงานที่ไม่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน หรืออย่างน้อยต้องขาดทุนน้อยกว่ากรณีปิดดําเนินการ 

อย่างไรก็ดี แม้โรงแรมที่กลับมาเปิดดําเนินการแล้ว ก็ยังคงต้องใช้มาตรการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารจัดการพนักงานเท่าที่จําเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณงาน

ธุรกิจอาหาร 

การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งเริ่มในประเทศจีนตั้งแต่ปลายปี 2562 เป็นต้นมา และมีการระบาดไปทั่วโลก จนถึงปัจจุบันนั้น ได้ส่งผลกระทบกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และรายได้ของธุรกิจอาหารของบริษัทฯ เป็นอย่างมาก จากการประมาณการโดยสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีการคาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-6.0) - (-5.0)

ถึงแม้ปัจจุบัน สถานการณ์ระบาดในประเทศไทยจะเริ่มคลี่คลาย และรัฐบาลได้มีมาตรการผ่อนปรน หรือ คลายล็อคดาวน์เป็นระยะแล้วนั้น ระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่ได้กลับมาอยู่ในระดับก่อนการเกิดโรคระบาด ดังจะเห็นได้ว่า ธุรกิจอาหารโดยเฉพาะในส่วนของการรับประทานในร้าน ยังไม่ได้กลับมาในภาวะปกติอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ดีแนวโน้มยอดขายในเดือน มิถุนายน และ กรกฎาคม ที่ผ่านมามีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นลําดับ

จากผลกระทบของ COVID-19 ที่ผ่านมา และสถานการณ์การระบาดในหลายประเทศ ทําให้บริษัทฯ มีการเตรียมตัวเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเพื่อที่จะบริหารจัดการกระแสเงินสดของบริษัทฯ ได้อย่างเหมาะสม โดยบริษัทฯ จะเน้นใน 3 ด้านด้วยกัน ได้แก่ การสร้างรายได้ ลดต้นทุน และระมัดระวังในการลงทุนขยายธุรกิจ 

สําหรับแผนสําหรับการสร้างรายได้ นั้น บริษัทฯ ยังคงเน้นการขยายช่องทางการขายอาหารและพัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มช่องทางการจําหน่าย และทางเลือกให้ผู้บริโภคเพิ่มขึ้น โดยช่องทางที่บริษัทฯคาดว่ายังคงจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การ ขายผ่านช่องทาง delivery ทั้งผ่านช่องทาง “1312 Food Hunt” ซึ่งเป็น on-line delivery application ของบริษัทฯเอง และ ผ่านทาง food aggregators อื่นๆ 

ในส่วนของการบริหารจัดการต้นทุน บริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างพนักงานโดยเพิ่มสัดส่วนพนักงานชั่วคราวต่อพนักงานประจํา เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการต้นทุน สําหรับการลงทุนขยายสาขาในปีนี้จะเป็นการเน้นขยายสาขาในแบรนด์หลัก โดยจะเน้นการขยายสาขานอกห้างและพัฒนาธุรกิจโมเดลใหม่ ๆ ได้แก่ cloud kitchen

แนวโน้มธุรกิจปี 2563 

ธุรกิจโรงแรม

การฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมหลังจากทยอยเปิดดําเนินการอีกครั้งจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากยังต้องพึ่งอุปสงค์จากนักท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งสถานที่เที่ยวที่นิยมจะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก เช่น พัทยาและหัวหิน จะมีอัตราการเข้าพักสูงในช่วงสุดสัปดาห์และช่วงวันหยุดยาว แต่ช่วงระหว่างสัปดาห์อัตราการเข้าพักไม่สูงมากนัก 

ส่วนโรงแรมในกรุงเทพฯ จะต้องอาศัยการฟื้นตัวของการจัดงานประชุมสัมมนาเป็นสําคัญ สําหรับโรงแรมในต่างจังหวัดที่ห่างไกลกรุงเทพฯ เช่น ภูเก็ต สมุย ซึ่งพึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก เช่นเดียวกับโรงแรมที่มัลดีฟส์จะเริ่มทยอยเปิดในช่วง ท้ายไตรมาส 3 และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับอัตราการจองห้องพักล่วงหน้า ดังนั้น ภาพรวมรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ย (RevPar) ปี 2563 (ไม่รวมโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บีชรีสอร์ท สมุยและโรงแรม โคซี่ พัทยา วงศ์อมาตย์ บีช) คาดว่าจะลดลงประมาณ 60% เทียบปีก่อน อัตราการเข้าพักเฉลี่ย (OCC) ประมาณ 30%-35% 

ธุรกิจอาหาร

บริษัทฯ คาดว่าในปี 2563 อัตราการเติบโตจากสาขาเดิม (Same-Store-Sales: SSS) และอัตราการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขา (Total-System-Sales: TSS) จะลดลงประมาณ 16%-18% และ 12% ตามลําดับ เมื่อเทียบปีที่ผ่านมา สําหรับการเติบโตของจํานวนสาขา บริษัทฯ คาดว่าจะมีจํานวน สาขาเพิ่มขึ้นสุทธิ 50-70 สาขา



ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Meta ท้าชน Sora เปิดตัว Movie Gen หรือ AI สร้างวิดีโอตัวใหม่

ล่าสุด Meta เปิดตัว Movie Gen เครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI โดยทาง Meta ได้ประกาศเรื่องนี้หลังจาก OpenAI เปิดตัวโมเดลสร้างวิดีโอจากข้อความชื่อว่า Sora เมื่อไม่กี่เดือนก่อน อย่างไรก็...

Responsive image

Google ทดสอบ ‘ติ๊กฟ้า’ ยืนยันเว็บไซต์ทางการ ยกระดับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์

Google ทดลองกำกับติ๊กฟ้าบนเว็บไซต์ทางการของหลากหลายแบรนด์ที่ได้รับการยืนยัน ช่วยให้ผู้ใช้หลีกเลี่ยงการคลิกเว็บไซต์ปลอมหรือฉ้อโกง และเป็นการยืนยันได้ว่าไม่ใช่บริษัทลอกเลียนแบบที่พยา...

Responsive image

YouTube Shorts ยกระดับวิดีโอสั้น เพิ่มความยาววิดีโอสูงสุดเป็น 3 นาที พร้อมฟีเจอร์ใหม่ เริ่ม 15 ตุลาคมนี้

YouTube Shorts กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการสร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้น โดยเตรียมเพิ่มความยาวสูงสุดของวิดีโอจาก 60 วินาที เป็น 3 นาที นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่จะเปิดโอกาสให้...