นับเป็นกระแสที่ได้รับการกล่าวถึงแทบทุกสื่อ เมื่อ “เจ๊เกียว” หรือ “คุณสุจินดา เชิดชัย” ในฐานะ นายกสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมโดยสาร บขส. และเจ้าของอู่รถเชิดชัย และบริษัท เดินรถเชิดชัย ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 65 ปี ประกาศขายกิจการรถโดยสารเชิดชัยทัวร์ หลังประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง จนกระทั่งมาเจอกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 และค่าน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นในขณะนี้ รวมถึงพฤติกรรมการเดินทางของคนที่เปลี่ยนไป ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนต้องประกาศขายกิจการในที่สุด

ในครั้งนี้ Techsauce จะพาไปย้อนรอยทำความรู้จักกับ “เจ๊เกียว” และอาณาจักรเชิดชัยทัวร์ ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 65 ปี พร้อมกับเจาะลึกเหตุผลที่ว่าทำไม “เจ๊เกียว” ถึงตัดสินใจยุติธุรกิจและประกาศขายกิจการ
“เจ๊เกียว” หรือ คุณสุจินดา เชิดชัย หญิงแกร่งผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจรถร่วมโดยสาร หรือ รถทัวร์ในไทย ที่ใช้ชื่อว่า “เชิดชัย” จบการศึกษาระดับชั้น ป.4 ได้เริ่มต้นธุรกิจจากเงินเพียง 120 บาท สู้ชีวิตตั้งหน้าตั้งตาทำงานทุกอย่าง เช่น อู่ต่อรถ ซึ่งเป็นกงสีของครอบครัว จนทำให้เจ๊เกียวประสบความสำเร็จในการซื้อกิจการพร้อมต่อยอดสู่ธุรกิจ อู่รถเชิดชัย และบริษัทเดินรถ นามว่า “เชิดชัย” ขึ้นมาในที่สุด ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริษัทประกอบรถทัวร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมเป็นระยะเวลากว่า 65 ปี ที่เริ่มแรกมีลูกน้องเพียง 10-20 คนเท่านั้น จนเคยมีลูกน้องสูงสุดถึง 3 พันคน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากจะพูดให้เห็นภาพเจ๊เกียวชัดขึ้นคงจะเป็นทุกครั้งที่เกิดวิกฤตน้ำมันขึ้นราคา เรามักจะเห็นเจ๊เกียวออกมาเคลื่อนไหว เพื่อขอขึ้นราคาค่าโดยสารอยู่เสมอ จนกลายเป็นภาพลักษณ์ให้คนจำจด
จึงถือได้ว่าเจ๊เกียวเป็น Business Women นักธุรกิจหญิงแกร่งที่ทรงพลังต่อการขับเคลื่อนองค์กร ซึ่งมีทักษะแห่งความเป็นผู้นำหนุนหลังอยู่ จนทำให้เจ๊เกียวสามารถขึ้นมายืนแถวหน้าได้อย่างภาคภูมิ
ทั้งนี้ บริษัท เชิดชัยทัวร์ ประกอบธุรกิจรถร่วมโดยสาร บขส.มานานกว่า 65 ปี ซึ่งตอนที่อาณาจักรรถทัวร์เฟื่องฟูมีรถร่วม บขส.กว่า 800 คัน แต่ปัจจุบันมีรถอยู่กว่า 200 คัน วิ่งทั้งสายภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ จนกระทั่งช่วงปี 62 เป็นต้นมา เริ่มประสบกับปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง เนื่องจากไม่มีผู้โดยสาร เพราะวิถีการเดินทางของคนที่เปลี่ยนไป ผู้โดยสารมีตัวเลือกในการเดินทางมากขึ้น
จนกระทั่งมาเจอการระบาดของไวรัสโควิด-19 และค่าน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นขณะนี้ ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบอย่างหนัก ปัจจุบันจึงเหลือรถวิ่งอยู่เพียง 20-30% เท่านั้น ส่วนอีกประมาณ 70% ต้องหยุดวิ่ง เพราะปัญหาข้างต้น หากวิ่งรถไปก็ไม่คุ้มกับค่าโดยสาร โดยเฉพาะรถที่วิ่งสายยาว กรุงเทพฯ ไปจังหวัดต่างๆ ทั้งภาคอีสาน และภาคเหนือ ตอนนี้หยุดวิ่งเกือบ 100% เหลือเพียงสายสั้น กรุงเทพฯ-นครราชสีมา และจังหวัดภาคตะวันออก เนื่องจากหากนำรถออกวิ่งทุกคัน สิ่งที่ตามมาคือต้องแบกรับภาระค่าน้ำมันไม่ต่ำกว่าเดือนละ 4 ล้านบาท อีกทั้งค่าแรงคนงาน ค้าจ้างพนักงาน ฯลฯ ที่ต้องใช้จ่ายอีกเป็นจำนวนมาก
และด้วยอายุที่มากขึ้นเจ๊เกียวจึงไม่อยากที่จะแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในบริษัทที่ประสบกับปัญหาขาดทุนแบบนี้อีกต่อไป รวมทั้งวิกฤตต่าง ๆ ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะบางเบาลง ทำให้เกิดความตั้งใจที่จะวางมือและทุ่มเทเวลาไปให้กับธุรกิจอื่น ๆ ที่ยังคงอยู่ เช่น ธุรกิจต่อตัวถังรถโดยสาร, ธุรกิจขายรถยนต์ และธุรกิจให้เช่าที่ดิน
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม “เจ๊เกียว” แม่ทัพหญิงแห่งเชิดชัยทัวร์ ผู้ขับเคลื่อนสายป่านมากว่า 65 ปี ต้องถอยออกมาอีกก้าวให้กับกิจการเดินรถโดยสารของตน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด