จีนสู้ไม่ถอย ส่งวิศวกร 4 คน ลักลอบขนข้อมูลฝึก AI หนีข้อห้ามสหรัฐฯ

ในยุคที่ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่บนคลาวด์และส่งผ่านสายไฟเบอร์ความเร็วสูง กลับมีเรื่องราวสุดแปลกเกิดขึ้นในโลกของเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ฟังดูแล้วเหมือนพล็อตหนังสายลับมากกว่าจะเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ นั่นคือ การลักลอบขนข้อมูล AI ด้วยกระเป๋าเดินทาง

มีข่าวรายงานว่า บริษัท AI สัญชาติจีนกำลังใช้กระเป๋าเดินทางบรรจุฮาร์ดไดรฟ์หลายร้อยเทราไบต์ เพื่อนำข้อมูลออกนอกประเทศไปยังศูนย์ข้อมูลในต่างแดน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ที่กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมในภารกิจหลบเลี่ยงมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI จากสหรัฐฯ

ซึ่งปฏิบัติการนี้เกิดขึ้นท่ามกลางมาตรการควบคุมที่เข้มงวดจากสหรัฐฯ ที่พยายามสกัดการเข้าถึงชิปประสิทธิภาพสูง เช่น Nvidia A100 และ H100 ของจีน ด้วยความหวังว่าจะชะลอการพัฒนา AI ทางทหารของคู่แข่ง

ลอบขนข้อมูล 4.8 เพตะไบต์ กับนักเดินทาง 4 คน

จากรายงานของ Wall Street Journal เผยว่ามีการปฏิบัติการลับระดับชาติของบริษัท AI จากจีน ที่ใช้วิธีสุดแหวกแนวเพื่อฝึกโมเดล AI ของตนโดยจะมีชาย 4 คนที่บินตรงจากปักกิ่งสู่กัวลาลัมเปอร์ 

ที่ถ้าหากดูเผิน ๆ พวกเขาคือนักธุรกิจทั่วไปที่มาเที่ยวหรือมาประชุมอะไรสักอย่าง แต่ความจริงแล้ว แต่ละคนพกฮาร์ดไดรฟ์ 15 ตัว บรรจุข้อมูลฝึก AI มากถึง 80 เทราไบต์ต่อชิ้น รวมแล้วกว่า 4.8 เพตะไบต์ ข้อมูลมากพอจะฝึกโมเดลภาษา LLM ขนาดใหญ่ได้หลายตัว

การขนส่งทางเน็ตเวิร์กถูกตัดทิ้งไปตั้งแต่ต้น เพราะมันช้าและเสี่ยงโดนสอดแนม แต่การแบกมาเองผ่านเครื่องบิน ทำให้ไม่มีใครระแวง ตรวจกระเป๋าก็ผ่านศุลกากรมาเลเซียได้แบบชิลๆ 

แหล่งข่าวรายงานว่า ปลายทางของฮาร์ดไดรฟ์เหล่านี้คือศูนย์ข้อมูลที่มาเลเซีย ซึ่งบริษัทจีนได้เช่าเซิร์ฟเวอร์ Nvidia กว่า 300 เครื่องเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อฝึกโมเดล ข้อมูลถูกป้อนเข้าเครื่อง ฝึกโมเดลเสร็จ ก็กลับจีนพร้อมกระเป๋าเดินทางใบเดิม และเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัยเวลาผ่านด่านตรวจที่สนามบิน วิศวกรชาวจีนทั้ง 4 คนจึงแบ่งฮาร์ดไดรฟ์ออกเป็นชุด ๆ แล้วแยกกันพกพาขึ้นเครื่องบินมามาเลเซีย เพราะถ้าคนเดียวถือฮาร์ดไดรฟ์ทั้งหมดก็คงดูแปลกเกินไป นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก

เพราะบริษัทจีนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ใช้ชื่อบริษัทในจีนโดยตรงเวลาทำสัญญาเช่าเซิร์ฟเวอร์ แต่ใช้บริษัทลูกที่ไปจดทะเบียนไว้ในสิงคโปร์เป็นผู้เช่าแทน ทำให้ดูเหมือนว่าการใช้ศูนย์ข้อมูลในมาเลเซียเป็นเรื่องของบริษัทในสิงคโปร์ ไม่ใช่จีนโดยตรง 

แต่แล้วก็มีปัญหาอีก เพราะสิงคโปร์เริ่มคุมเข้มมากขึ้นในเรื่องเทคโนโลยี AI ทำให้บริษัทที่ดูแลศูนย์ข้อมูลในมาเลเซียแนะนำว่า ถ้าอยากให้ทุกอย่างดำเนินต่อได้โดยไม่สะดุดก็ควรให้บริษัทจีนมาจดทะเบียนตั้งกิจการในมาเลเซียเสียเลย จะได้ไม่มีใครมองว่าเป็นเรื่องของสิงคโปร์อีกต่อไป

เมื่อเทคโนโลยีไม่ใช่แค่แข่งขัน แต่คือศึกภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่แผนการที่แยบยล แต่ต้องใช้ทุนมหาศาล ทั้งค่าเดินทาง ค่าเช่าเซิร์ฟเวอร์ ค่าจดทะเบียนบริษัท และค่าใช้จ่ายเบื้องหลังอีกมากมาย แต่มันก็คุ้มสำหรับบริษัทที่ต้องการฝึกโมเดล AI ระดับใหญ่ ที่หากทำในจีนเองจะถูกจำกัดด้วยข้อห้ามของสหรัฐฯ

ถึงแม้ Nvidia จะบอกว่ายังไม่มีหลักฐานว่าชิปของตนหลุดไปถึงจีนแบบผิดกฎหมาย แต่ Wall Street Journal ก็เปิดเผยว่าตลาดมืดในจีนยังคงมีการซื้อขายชิปเหล่านี้อยู่ตลอด ผ่านพ่อค้าคนกลางหรือบริษัทในประเทศเพื่อนบ้าน แสดงให้เห็นว่ามาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ อาจยังมีช่องโหว่อยู่มาก

อ้างอิง: futurism, tomshardware, wsj

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ซีอีโอ AWS ชี้ AI Agents จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต เราอาจได้เห็น AI Agent พันล้านตัวรันองค์กร

AWS ซีอีโอประกาศชัด AI Agents จะสร้างผลกระทบต่อโลกธุรกิจยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและ Cloud พร้อมเปิดยุคที่ ‘AI Agent พันล้านตัว’ ทำงานอัตโนมัติอยู่หลังองค์กรทั่วโลก เร่งผลตอบแทนทางธุรกิ...

Responsive image

วิกฤตสมองไหลใน Apple ไม่จบ ! ล่าสุด Meta ดึงตัว Alan Dye หัวหน้าทีมดีไซน์ Apple ผู้คุมออกแบบ Liquid Glass ใน iOS26

เจาะลึกสมองไหลใน Apple ปี 2025 เมื่อผู้เชี่ยวชาญ AI หลายคนย้ายไป Meta, OpenAI และ Cohere ส่งผลต่ออนาคต Apple Intelligence...

Responsive image

เจาะแผน 'Quick Win' รัฐ-เอกชน ผนึกกำลังดันครีเอเตอร์ไทยสู่อาชีพมั่นคง

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยน เมื่อเรากลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ 'ยอดผู้ใช้งาน TikTok แซงหน้า YouTube' อย่างชัดเจน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขอ...