สมรภูมิเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ยังคงร้อนระอุ และแน่นอนว่าความขัดแย้งนี้กำลังระอุอย่างมากในอุตสาหกรรมยานยนต์ และล่าสุดมีรายงานจาก Nikkei Asia ว่า รัฐบาลปักกิ่งได้ตั้งเป้าหมายใหม่ว่า
“ภายในปี 2027 รถยนต์สัญชาติจีนจะต้องใช้ชิปจีนที่พัฒนาและผลิตในประเทศ 100%”
โดยปัจจุบันมีค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง BYD, SAIC, Geely และอีกหลายรายที่ได้ขานรับนโยบาย เตรียมส่งรถยนต์รุ่นแรกที่ใช้ชิป Made in China ลงสู่ตลาดให้เร็วที่สุด ซึ่งตั้งเป้าไว้ภายในในปี 2026 นับเป็นความเคลื่อนไหวที่เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในวิสัยทัศน์อันทะเยอทะยานของปักกิ่ง ที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางเทคโนโลยีและลดการพึ่งพาชิปจากต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันก็มีค่ายรถจีนเป็นลูกค้ารายใหญ่
เบื้องหลังภารกิจชิปจีนครั้งใหญ่นี้มี กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (MIIT) เป็นผู้กำกับดูแลหลัก โดย MIIT จะเรียกค่ายรถยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มรัฐวิสาหกิจเข้ามาประเมินอัตราการใช้ชิปในประเทศของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลักดันให้เป้าหมายสำเร็จตามแผน
เป้าหมายล่าสุดที่ตั้งไว้คือปี 2027 สำหรับการใช้ชิปในประเทศ 100% ซึ่งนับเป็นการเร่งสปีดครั้งสำคัญจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้เพียง 25% ในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนของรัฐบาลจีนในประเด็นนี้
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าววงในชี้ว่าเป้าหมาย 100% นี้ไม่ใช่ข้อบังคับตายตัว แต่เป็นเสมือน "กรอบนโยบายเชิงชี้นำ" ที่สร้างแรงจูงใจให้บริษัทต่างๆ แสดงความมุ่งมั่นและทุ่มเทเพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์ของรัฐบาล
ผู้บริหารจากบริษัทพัฒนาชิปของจีนรายหนึ่งเผยกับ Nikkei Asia ว่า "ลูกค้าค่ายรถอย่าง Geely บอกกับเราว่า หากมีตัวเลือกพวกเขาจะให้ความสำคัญกับชิปที่พัฒนาในประเทศเป็นอันดับแรก และต้องการชิปจากผู้เล่นจากประเทศจีนมากกว่า แม้ว่าชิปจากนักพัฒนาต่างชาติจะผลิตในจีนก็ตาม"
ตอนนี้บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน เช่น BYD, Geely, SAIC, Changan, Great Wall Motor และ GAC Group ต่างเริ่มขยับแล้ว บางรายมีแผนชัดเจนว่าจะผลิตรถยนต์ที่ใช้ชิปจีนทั้งหมดในปี 2026 การจะทำเช่นนี้ได้ พวกเขาต้องทำงานร่วมกับโรงงานผลิตชิปในประเทศ เช่น SMIC และ CanSemi เพื่อช่วยกันตรวจสอบว่าแต่ละส่วนของชิปที่ใช้ในรถยนต์สามารถผลิตในจีนได้จริงหรือไม่ และมีคุณภาพพอหรือเปล่า
สิ่งที่ช่วยให้จีนมีโอกาสสำเร็จ คือชิปที่ใช้ในรถยนต์ส่วนใหญ่ยังใช้เทคโนโลยีเก่า ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรหรือเทคโนโลยีขั้นสูงเหมือนในโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ระดับสูง ดังนั้นโรงงานในจีนสามารถผลิตได้ง่ายขึ้น ไม่ติดข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยีมากนัก
แต่แม้ว่าความพยายามจะคืบหน้า จีนก็ยังเจออุปสรรคอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในระบบขับขี่อัตโนมัติ เพราะชิปที่ใช้ในระบบเหล่านี้ต้องมีความซับซ้อนสูง ปัจจุบันยังต้องพึ่งชิปจากบริษัทในสหรัฐฯ หรือยุโรปอยู่ เช่นจาก NVIDIA หรือ Infineon จึงเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนมาใช้ชิปภายในประเทศได้ทันทีในส่วนนี้
ปัจจุบัน ค่ายรถจีนยังคงพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และต่างชาติอย่างหนัก โดยเฉพาะชิปประสิทธิภาพสูงใน ระบบขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving) และ ห้องโดยสารอัจฉริยะ (Smart Cockpits) ซึ่งยังคงต้องใช้ชิป AI ของ Nvidia หรือ Qualcomm
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ชิ้นส่วนในประเทศ 100% อย่างรวดเร็วจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง และมาตรการกีดกันทางเทคโนโลยีที่เข้มข้นขึ้นจากรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยิ่งสร้างความกังวลว่าค่ายรถจีนอาจถูกตัดขาดจากชิ้นส่วนสำคัญในอนาคต
สถานการณ์นี้บีบให้ผู้เล่นระดับโลกอย่าง STMicroelectronics, NXP และ Infineon ต้องปรับตัว โดยหันมาจับมือกับผู้ผลิตชิปตามสัญญา (Contract Chipmaker) ในจีนมากขึ้น เพื่อดำเนินการผลิตชิปสำหรับตลาดจีนโดยเฉพาะ
ชิปยานยนต์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCUs), เซ็นเซอร์ หรือ ชิปแอนะล็อก สามารถผลิตได้ด้วย เทคโนโลยีกระบวนการผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์แบบเก่า (Mature Nodes) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จีนมีความพร้อมและกำลังเร่งขยายกำลังการผลิตอย่างหนัก
Brian Matas นักวิเคราะห์จาก TechInsights ชี้ว่า "การเร่งขยายกำลังการผลิตเทคโนโลยี Mature Node ของจีน ได้สร้างแรงกดดันด้านราคาอย่างมหาศาลต่อตลาดชิปบางกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดแอนะล็อกและ MCUs"
ข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมระดับโลก (Semiconductor Equipment and Materials International - SEMI) คาดการณ์ว่า ภายในปี 2027 กำลังการผลิตชิป Mature Node (เทคโนโลยี 14 นาโนเมตรหรือเก่ากว่า) ของจีน อาจครองสัดส่วนเกือบ 40% ของทั้งโลก (เพิ่มจาก 31% ในปี 2023) ขณะที่สหรัฐฯ จะมีสัดส่วนเพียง 5%
แม้จะมีความพยายามอย่างเต็มที่ แต่เส้นทางสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์ยังคงอีกยาวไกล TechInsights ประเมินว่า ในปี 2025 การผลิตชิปในจีนจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศได้เพียง 17.5% จากมูลค่าตลาดรวมที่มหาศาลถึง 185,000 ล้านดอลลาร์
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของจีนไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมยานยนต์ของตนเอง แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังทั่วโลกว่า จีนพร้อมที่จะสร้างอีโคซิสเต็มทางเทคโนโลยีที่ครบวงจรและพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนและดุลอำนาจทางเทคโนโลยีของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่มา: Nikkei.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด