นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงและแตะจุดต่ำสุดในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศไทย ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง 3.5% ก่อนวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ทำให้กลายเป็นสกุลเงินที่มีค่าต่ำสุดในเอเชีย
หลังจากการเลือกตั้งก็เกิดปัญหาความขัดแย้งในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงถึงจุดต่ำสุด โดย 35.285 บาท เท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เชื่อว่าจะสามารถฟื้นตัวภายในไม่กี่เดือนข้างหน้าจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน
ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานว่าในเดือนนี้จะมีนักท่องเที่ยวจากจีนและออสเตรเลียเดินทางเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากสายการบินต่าง ๆ กำลังเจรจาเพื่อเพิ่มจุดลงจอดเครื่องบินรองรับการเดินทางเข้ามาที่อาจเพิ่มมากขึ้น
การเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนจะช่วยพยุงค่าเงินบาทและคาดว่าจะกลับมาแข็งค่าขึ้นอีกครั้งในไม่กี่เดือนข้างหน้า ดร. ปุณยวัจน์ สีสิงห์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของธนาคารไทยพาณิชย์เผยว่า หากนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาจับจ่ายในประเทศไทยมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จะนำเงินเข้าสู่ประเทศมากขึ้นส่งผลให้เกิดการ “เกินดุลบัญชีเดินสะพัด” หรือการที่เงินไหลเข้ามากกว่าไหลออก
เงินจากการเกินดุลการค้าและบริการนี้ก็จะเป็นส่วนที่พยุงค่าเงินบาทไว้ไม่ให้อ่อนค่าลงและช่วยให้แข็งค่าขึ้นได้ ดร. ปุณยวัจน์ คาดว่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าได้ถึง 32 บาท / 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาจแข็งค่าขึ้นจากมูลค่าในปัจจุบันถึง 10%
ถึงแม้ว่า Vijay Kannan นักยุทธศาสตร์เอเชียจากธนาคาร Societe Generale สาขาสิงคโปร์เผยถึง 3 ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงในอนาคตอย่าง การอ่อนค่าของเงินหยวน เศรษฐกิจจีนไม่ฟื้นตัว และ การดำเนินนโยบายทางการเงินที่แตกต่างกันระหว่างไทยและสหรัฐ สิ่งเหล่านี้นี้อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและฉุดเงินบาทให้อ่อนค่าลง
แต่ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ประเทศไทยจะเริ่มจัดตั้งรัฐบาลใหม่และลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี Vijay Kannan กล่าวว่าหากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายและมีเสถียรภาพมากขึ้น ปัจจัยนี้ก็อาจจะช่วยทำให้ค่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน
อ้างอิง: sports.yahoo, bloomberg
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด