ท่ามกลางกระแสการตื่นตัวเรื่องความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมที่กำลังเข้ามามีส่วนสำคัญตั้งแต่กิจวัตรประจำวันของคนทั่วไปจนไปถึงการดำเนินธุรกิจขององค์กรยักษ์ใหญ่ เราได้เห็นองค์กรใหญ่หลายเจ้าออกมาประกาศความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อความยั่งยืน แต่ก็ยังเป็นที่กังขาว่าองค์กรมีความเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหา และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้จริงๆ สักเท่าใด
จากการตรวจสอบขยะพลาสติกของแบรนด์ล่าสุดของ Break Free From Plastic พบว่า Coca-Cola คือแบรนด์ที่สร้างมลพิษจากขยะมากที่สุดในโลก โดยการตรวจสอบครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทำความสะอาดพื้นที่กว่า 848 แห่งใน 51 ประเทศ 6 ทวีป และมีอาสาสมัครกว่า 72,541 คน ที่เข้าไปเก็บขยะพลาสติกตามพื้นที่ชายหาด, ถนน, แม่น้ำ ไปจนถึงบริเวณรอบๆ บ้านของพวกเขา
อาสาสมัครแนวร่วมของ Break Free From Plastic สามารถเก็บขยะพลาสติกได้กว่า 475,000 ชิ้น ทั่วโลก โดยในจำนวนขยะพลาสติกทั้งหมดมาจากแบรนด์ Coca-Cola 11,732 ชิ้น โดยมี Nestle และ PepsiCo เป็นลำดับถัดมา แต่หากจะดูแค่ในส่วนของประเทศสหรัฐอเมริกา ลิสต์ลำดับของแบรนด์ก็จะต่างออกไป โดยอันดับหนึ่งคือ Nestle ตามมาด้วย Solo Cup Company และ Starbucks
จุดประสงค์ของการจัดกิจกรรมทำความสะอาดลักษณะนี้นอกจากจะช่วยลดมลพิษที่เกิดจากขยะพลาสติก ก็ยังสามารถบ่งชี้ได้ถึงขีดความรับผิดชอบขององค์กรต่างๆ ที่มีต่อปัญหามลพิษขยะ ซึ่งผลการศึกษาในระดับโลกบ่งชี้ว่าขวดพลาสติกกว่าล้านชิ้นถูกซื้อในทุกๆ 1 นาที และกว่า 91 เปอร์เซ็นต์ ไม่ถูกนำกลับเข้ากระบวนการรีไซเคิล
นอกจากนี้แนวโน้มของตัวเลขประเมินยังชี้ไปในทิศทางที่เลวร้ายกว่าเดิม มีการประมาณการว่าในปี 2020 จะมีการขายขวดพลาสติกมากกว่าห้าแสนล้านขวด และประมาณ 455,000 ล้านขวดจะไม่ถูกนำกลับมารีไซเคิล แต่จะไปอยู่ในหลุมขยะฝังกลบ, ถูกกำจัดด้วยการเผา หรือตามแท่น้ำกระทั่งลงสู่มหาสมุทร
สำหรับข้อเสนอกลยุทธ์ในการลดมลพิษขยะ single-use plastic ที่จะให้ผลลัพธ์ที่เด่นชัด ต้องเน้นในสามเรื่องดังนี้
ในปัจจุบันองค์กรใหญ่จำนวนมากออกมาประกาศความตื่นตัวและบทบาทความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งพวกเขาถือเป็นส่วนสำคัญของปัญหา แต่คนจำนวนมากยังไม่มีความเชื่อมั่นว่าองค์กรเหล่านั้นได้รับผิดชอบอย่างเพียงพอเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งแนวทางในการลดมลพิษขยะพลาสติกอาจจะเป็นไปได้ยากเพราะพลาสติกยังคงเป็นวัสดุที่ราคาถูกและใช้งานได้ค่อนข้างดี ดังนั้นนโยบายทางการเมือง และการกดดันจากนักสิ่งแวดล้อมจะเป็นแรงขับเคลื่อนเริ่มต้นที่สำคัญในการกระตุ้นให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง
Source : Forbes
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด