ถกประเด็น E-Commerce ใน EEC เป็นเขตปลอดอากร ใครได้ประโยชน์? | Techsauce

ถกประเด็น E-Commerce ใน EEC เป็นเขตปลอดอากร ใครได้ประโยชน์?

เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่คนให้ความสนใจ สำหรับการประกาศราชกิจจาพิธีศุลกากร ค้า E-Commerce ใน EEC ที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภาษี การประกาศดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับใครในแง่ไหนบ้าง เรื่องนี้ Techsauce ได้สัมภาษณ์พิเศษ คุณธนาวัฒน์ มาลาบุปผา นายกสมาคมผู้ประกอบการพาณิชยอิเล็กทรอนิกส์ไทย  และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด ถึงประเด็นดังกล่าว


มีความคิดเห็นอย่างไรกับการประกาศราชกิจจานุเบกษาให้ E-commerce ใน EEC เป็นเขตปลอดอากร

เรื่องนี้เกี่ยวกับโครงการ EEC จะมี Digital Free Trade Zone ซึ่งเป็นเขตปลอดภาษี ความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้คือมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะแน่นอนว่าต้องมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ซึ่งเราต้องมาคุยกันว่าสำหรับประเทศไทยได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากกว่ากัน ถ้าคนที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้และได้ประโยชน์แน่นอนคือ Alibaba เขาตกลงที่จะลงทุนหมื่นล้านบาทให้รัฐบาลไทย มีเงื่อนไขต่างๆ ที่ตกลงกับไทย 4 ข้อด้วยกัน คือ

  1. การนำสินค้าเกษตรของไทยส่งออกสู่ตลาดจีนและตลาดโลกด้วย
  2. การเข้ามาช่วยพัฒนา SMEs ไทยให้สามารถค้าขายได้ โดยต้องการให้ SMEs ไทย มีขีดความสามารถในการแข่งขันเรื่อง E-commerce ได้ดีมากขึ้น
  3. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวผ่านดิจิทัลและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 
  4. ให้ไทยเป็น hub ในการกระจายสินค้าสู่ CLMV โดย Alibaba มองว่าในอนาคตภายใน 3-5 ปี ตลาด CLMV จะเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ด้วยความที่ไทยอยู่ติดกับประเทศในตลาด CLMV นั้น ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีทางด้านยุทธศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น ยังมีประเทศมาเลเซียด้วย ซึ่งมาเลเซียก็เป็นประเทศที่เป็น Digital Free Trade Zone และทำมาก่อนไทยด้วยซ้ำ

หลังจากที่รัฐบาลของมาเลเซียกับจีนเจรจากันกับ แจ็ค หม่าแล้ว ก็มีการ set up เรียบร้อยแล้ว โดยวางมาเลเซียเป็น hub สู่ตลาดสำหรับประเทศหมู่เกาะ คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ส่วนไทยนั้นจะเป็น hub สู่ตลาด CLMV

Alibaba ต้องการนำสินค้าจีนเข้าสู่ภูมิภาค SEA แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาอยากจะให้ผู้ประกอบการ SMEs เป็น hub ในการส่งออกสินค้าสู่ตลาดโลกผ่าน Alibaba platform ฉะนั้นในแง่ของ Alibaba ผมคิดว่าเขา win อยู่แล้ว เพราะที่กล่าวมาข้างต้นล้วนทำผ่าน platform เขาทั้งหมดเลย

EEC ทำให้เกิดช่องทางที่ 3

เป้าหมายใหญ่ของ EEC คือ Distribution Center โดยการให้ประเทศไทยเป็น Distribution Hub แต่จริงๆ มีข้อหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ เขตปลอดอากร ซึ่งเขตปลอดอากรนี้คนไทยสามารถสั่งสินค้าออนไลน์ผ่านพ่อค้าแม่ค้าจีนได้ 2 ช่องทางหลักๆ คือ

  1. ผ่านช่องทางของจีนโดยตรงผ่านเว็บไซต์ Ali express เมื่อสั่งสินค้าแล้วจากนั้นพ่อค้าแม่ค้าคนจีนเขาส่งสินค้ามาให้ผู้บริโภคโดยตรง ราคาสินค้าใน Ali ค่อนข้างถูก ส่วนใหญ่ราคาไม่ถึง 1,500 บาท ซึ่งประเทศไทยมีกฎหมายว่าหากราคาสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศต่ำกว่า 1,500 บาท จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร เช่น ซื้อเคสมือถือราคา 200 บาทรวมค่าส่ง ก็จ่าย 200 บาท ฉะนั้นผู้บริโภคก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียภาษีศุลกากรหรือจะโดนเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมหรือไม่ นอกจากนี้ VAT ก็ไม่ต้องเสียถ้าราคาสินค้าไม่เกิน 1,500 ก็ไม่ต้องเสียภาษีมูลค้าเพิ่มเช่นเดียวกัน นี่เป็นเหตุผลที่คนไทยจะสั่งซื้อสินค้าจากจีนได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นพ่อค้าแม่ค้าคนจีนก็ win สามารถทำอะไรกับผู้บริโภคคนไทยได้ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้หรือ customs tax ต่างๆ แต่วิธีการนี้ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน เพราะการสั่งซื้อสินค้าจาก Ali express ต้องใช้เวลา บางครั้งรอเป็นเดือนกว่าจะได้สินค้า
  2. สินค้าจีนที่ผ่านเข้ามาโดย Marketplace ของไทย คือ Lazada, Shopee และ JD. Com จากข้อมูลของ Priceza เนื่องจากเราเป็น Shopping Search Engine พบว่าสินค้าใน Marketplace ในไทย 80% เป็นสินค้าของจีน เมื่อก่อนสินค้าจีนก็มีจำนวนเยอะ แต่เวลาจะสั่งซื้อต้องรอนาน แม้ว่าเราจะสั่งซื้อผ่าน marketplace ทั้ง 3 เจ้านี้ก็ตาม มีระยะเวลาในการส่งจนถึงได้รับสินค้าประมาณ 14 วัน ทุกวันนี้ marketplace  เหล่านี้เขานำเข้าสินค้าจากจีนมาเป็น container โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลว่าสินค้าอะไรที่ขายได้แน่นอน และนำเข้ามาไว้ใน distribution center ก่อน เมื่อมีคนสั่งซื้อเขาก็สามารถส่งได้เลย วิธีการนี้ประเทศไทยยังได้ customs tax เพราะ lazada และ shopee ยังต้องเสียภาษีนี้โดยผ่านการประเมินสินค้า ช่องทางนี้มีข้อดี คือผู้บริโภค win เพราะเมื่อก่อนถ้าเขาอยากซื้อสินค้าจากจีนต้องรออย่างน้อย 10 วัน แม้จะสั่งจาก lazada, shopee แต่ตอนนี้ไม่ต้องรอนานแล้ว มีสินค้าพร้อมส่งภายใน 1-2 วันได้เลย

อนาคตจะมีช่องทางที่ 3 เกิดขึ้น จากตอนแรกทาง lazada, shopee ต้องใช้การคาดเดาว่าคนไทยน่าจะซื้อสินค้าอะไร แต่เมื่อเขตปลอดอากรเกิดขึ้น เขาก็นำเข้าสินค้าเข้ามาไว้ในเขตปลอดอากร EEC โดยไม่ต้องเสียภาษี นำเข้ามาเป็นคอนเทนเนอร์ก็ไม่ต้องเสีย ซึ่งในเขตปลอดอากรนั้นก็มี Alibaba ไปตั้งศูนย์กระจายสินค้าอยู่ในนั้นด้วย เมื่อมีผู้บริโภคคนไทยอยากสั่งซื้อเคสมือถือ ราคาถูกจาก lazada สิ่งที่เกิดขึ้นคือ 1. สินค้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท ก็เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรและภาษีมูลค้าเพิ่ม (VAT) จากนั้นเขาก็สามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ทันที เปรียบเสมือนมีสินค้าของจีนมาตั้งไว้ในประเทศไทย เมื่อมีคนสั่งก็สามารถเอาออกมาส่งทีละออเดอร์ได้ ฉะนั้นจะไม่มีข้อจำกัดเหมือนช่องทางที่ 1 ที่ต้องรอนานกว่าจะได้สินค้าที่ส่งมาจากจีน ส่วนข้อสำกัดของช่องทางที่ 2 คือ สินค้ามีจำกัด ไม่กี่ประเภท แต่ช่องทางที่ 3 คือ สินค้ามีหลากหลายมาก 

คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทย

ปัจจุบันนี้ก็มีสินค้าจีนเข้ามาสู่ผู้บริโภคคนไทยอยู่แล้วผ่านทั้งช่องทางที่ 1 และ 2 แต่ EEC จะทำให้เกิดช่องทางที่ 3 ซึ่งเป็นผลดีในมุมของผู้บริโภค เพราะคนสามารถซื้อของจากจีนได้รวดเร็วและได้ราคาที่ถูก ขณะเดียวกันมุมมองของพ่อค้าแม่ค้าคนไทยซึ่งทำตัวเป็น trader โดยการนำสินค้ามาและขายต่อในราคา mark up ขึ้น โดยที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่าหรือ branding ของตัวเอง ก็จะหายไป ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมีเขาอยู่ใน value chain เพราะพ่อค้าแม่ค้าจีนเขาสามารถมาแทนที่ได้

ดังนั้นคำแนะนำสำหรับพ่อค้าแม่ค้าคนไทย คือ ถ้าจะสร้างสินค้าเป็นของตัวเองโดยการนำเข้ามาจากจีน ต้องเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ ประเด็นอยู่ที่ว่าแล้วสินค้าตัวไหนที่คุณภาพดี ต้องโฟกัสตัวนั้นและทำหน้าที่นี้แทนผู้บริโภค ต้องคัดเลือกและการันตีคุณภาพมาให้ผู้บริโภค ที่สำคัญคือต้องสร้างแบรนด์ของตัวเอง จะเป็นแรนด์ที่มีสินค้าคุณภาพดีและมีการรับประกันอย่างไร เพิ่ม value added, บริการหลังการขาย นี่คือสิ่งที่ต้องปรับตัว 

มองว่าคนไทย เสียมากกว่าได้?

“ตอบยาก เพราะตอนนี้เราอยู่ในยุคที่ e-commerce คือ Global trade ไม่ว่าเราจะไม่ชอบหรือมองว่ามันไม่เป็นธรรมแค่ไหนก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็เกิด การมาของ EEC มันช่วยทำให้ภาพนั้นมันชัดขึ้นว่า Global trade มันมาแล้วจริงๆ ซึ่งคนไทยก็ซื้อสินค้าผ่านช่องทางที่ 1 และ 2 อยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้มันมีช่องทางที่ 3 เกิดขึ้นมาเพิ่ม” คุณธนาวัฒน์กล่าวปิดท้าย

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

SCB EIC เผยผลกระทบจาก Trump 2.0 ฉุดเศรษฐกิจไทยปี 2568 เผชิญความท้าทายด้านการค้า การผลิต และการลงทุน

ในปี 2568 โลกจะเริ่มเผชิญกับความท้าทายจากผลของนโยบายเศรษฐกิจภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกว่า “Trump 2.0” ซึ่งถือเป็นการกลับมาใหม่ในเวอร์ชันที่มีอำนาจบริหารที่แข...

Responsive image

“Betagro Ventures” ร่วมลงทุน “Plantible” รอบ Series B มุ่งสร้างระบบอาหารที่มั่นคงและยั่งยืน ด้วยนวัตกรรม Rubi Protein® ตอบโจทย์อาหารแห่งอนาคต

“BETAGRO Ventures” หน่วยงานด้านการลงทุนและพัฒนานวัตกรรม ภายใต้ “บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน)” หรือ “BTG” ประกาศความสำเร็จในการร่วมลงทุน “Plantible” รอบ Series B มูลค่า 30 ล้านเหรีย...

Responsive image

ยกเลิกแบน iPhone 16 ไม่ง่าย อินโดฯ ยังไม่พอใจข้อเสนอลงทุน Apple ชี้ยังไม่เป็นธรรมสำหรับประเทศ

เรื่องราวระหว่าง Apple และอินโดนีเซียดูเหมือนจะยังไม่จบลงง่ายๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลอินโดนีเซียประกาศแบน iPhone 16 ห้ามวางจำหน่ายในประเทศ ใครใช้ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย...