บริษัท อีทราน (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ ETRAN สตาร์ทอัพไทยผู้ผลิตมอไซต์ไฟฟ้า ประสบความสำเร็จในการระดมทุนสู่ Series A มูลค่าราว 3.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 100 ล้านบาท จาก 2 นักลงทุนรายใหญ่ ได้แก่ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยางล้อรถมอเตอร์ไซค์สัญชาติไทย และ Angle investor หรือนักลงทุนอิสระ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีรถมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้มีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย
คุณสรณัญช์ ชูฉัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีทราน (ไทยแลนด์) จำกัด (ETRAN) กล่าวว่า จากการเปลี่ยนแปลงของโลกทุกวันนี้ ได้เกิดรูปแบบของธุรกิจใหม่ๆมากมายในโลกของเรา ส่งผลให้ ETRAN ต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับกับการเติบโตและเกิดใหม่ของหลายธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่บริษัทได้ทำเปรียบเสมือนการสร้างโอกาสใหม่ๆในอนาคตให้เกิดขึ้น โดยบริษัทฯต้องการเป็นผู้ขับเคลื่อนโลกที่ดีกว่าด้วยสิ่งที่สร้าง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการ
1. Clean : ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาเราเตือนตัวเองตลอดเวลาว่าไม่ต้องการที่จะสร้างขยะให้กับโลก สิ่งที่บริษัทฯต้องการทำคือต้องทำให้ห่วงโซ่คุณค่าในการตลาด (Value Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำเป็นพลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างของเสียให้โลกน้อยที่สุด หรือแม้กระทั่งเอาของเสียกลับมาใช้กับ ETRAN ให้ได้มากที่สุด
2.Efficiency : ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์(R&D) ของบริษัทฯได้พัฒนาเทคโนโลยีหลายอย่างเพื่อทำให้ประสิทธิภาพของรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของเราดีขึ้นเรื่อยๆ ทำอย่างไรให้ใช้พลังงานน้อยลงและสามารถสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเรามองว่าในอนาคตการนิยามรถด้วยคำว่า "รถเร็ว" จะเป็นเรื่องปกติ แต่ความปลอดภัยจะต้องมีเข้ามาด้วย
3.Equitable : บริษัทฯมองถึงการช่วยลดต้นทุนทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่กับผู้ใช้ เท่านั้น แต่ช่วยทั้งประเทศ เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ โดยทำให้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า พลังงานสะอาดของอีทราน เข้าถึงได้ง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ ให้ผู้ใช้งาน
"ผมเชื่อว่ามันเป็นความหวังให้กับคนไทยในวันที่สถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ สถานการณ์บ้านเมือง เศรษฐกิจ ทุกวันนี้ค่อนข้างที่จะซึมเศร้า ผมขอเริ่มวันนี้ด้วยคำว่า The Great Reset ในช่วงปีที่ผ่านมาตั้งแต่เราอยู่ในยุคของ Covid-19 ผมเชื่อว่าทุกท่านได้เปลี่ยนการใช้ชีวิต ทีมงานถามเราอยู่เสมอว่า ตอนนี้เรากำลังจะสร้างสิ่งที่ดีให้กับโลก หรือว่าเรากำลังจะสร้างขยะอีกชิ้นนึงให้กับโลกกันแน่ ซึ่งสิ่งนี้มันอยู่ในใจของเราตลอด และทำให้เราคิดว่า จะทำอย่างไรให้วันนี้เราไม่ใช่แค่สร้างขยะที่ไม่ใช้น้ำมัน แต่ทำอย่างไรให้การทำงานของ ETRAN เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ การที่เปลี่ยนแปลงผ่านช่วง Covid-19 ไปในการเกิดใหม่ครั้งหน้า เราต้องมองเรื่องของความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ และเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้ ETRAN Thiland แตกต่างจากบริษัทยานยนต์ทั่วไปในการที่เข้าใจและมองถึงบริบทถึงความยั่งยืนอย่างชัดเจน " คุณสรณัญช์ กล่าว
สำหรับปี 2564 บริษัทจะเดินหน้าผลิตมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า 2 รุ่น โดย 70% จะเน้นผลิตรุ่น ETRAN MYRA ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่ออกแบบเพื่อการขนส่งโดยเฉพาะ ส่วนอีก 30% จะผลิตรุ่น KRAF สำหรับทำตลาดในกลุ่มผู้ใช้รถมอเตอร์ไซด์ทั่วไป และมาพร้อมระบบ เปลี่ยนแบตเตอรี่ใน ETRAN Power Station ที่จะติดตั้งทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล 100 จุด ภายใน 3 ปี เบื้องต้นมองในพื้นที่กรุงเทพมหานครเป้าหมายอยู่กลางเมือง จำนวน 50 เขต เขตละ 2 จุด โดยเฟสแรกคาดเห็น 3 จุด
โดยตามแผนการดำเนินธุรกิจบริษัทตั้งเป้าในปี 2565 จะมีรายได้ อยู่ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท และในปี 2566 คาดว่ารายได้จะเติบโตก้าวกระโดดแตะ 1,000 ล้านบาทได้ และมียอดขาย 50% ของตลาดรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ารวม ภายในปี 2568 ด้วยยอดขายกว่า 100,000 คัน โดยมองเป้าหมายเติบโต ไปกับภาคการขนส่ง Last mile delivery กว่า 10,000 คัน ภายในปี 2567
ด้านคุณอาร์ชวัส เจริญศิลป์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีทราน (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังมีความพยายามพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) กับภาคนโยบาย (Policy) เพื่อผลักดัน EV ในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้ตลาด EV ในประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
1. ภาครัฐเดินหน้านโยบายจริงจังผ่าน คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) วางเป้าหมายผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ของภูมิภาคอาเซียน(EV Hub) พร้อมทั้งวาง เป้าหมายสนับสนุนให้มีการใช้รถมอเตอร์ไซค์ EV ในประเทศจำนวน 1,800,000 คัน ภายใน 3 ปี
2. ภาคผู้ผลิต เริ่มมีรถ EV ในแผนการพัฒนาและผลิตผลิตภัณฑ์ เพื่อทำการตลาดในประเทศ มากขึ้น ซึ่งอีทรานเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่พร้อมจะร่วมเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็น EV Hub อย่างเต็มรูปแบบ
3. ภาคผู้บริโภค เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้นประกอบกับเทคโนโลยีมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภค มีความมั่นใจต่อศักยภาพของรถ EV และประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้รถ EV ในภาพรวม
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและเตรียมพร้อมรับโอกาสจากแนวโน้มตลาด EV ที่จะเติบโต อีทรานได้วางแผนปรับองค์กร ก้าวจากสตาร์ทอัพสู่องค์กรธุรกิจเต็มรูปแบบ ด้วยการวางแผน พัฒนาองค์กรและสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน เป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง ทั้งในเรื่องของ การบริหารจัดการ การเงิน การตลาด การสร้างแบรนด์ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อนำไปสู่ การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต ด้วยอีทรานมีเป้าหมาย ที่ใหญ่กว่าเป็นเพียงผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายเป็นผู้นำให้เกิดขบวนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์สู่การมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
"เราขอขอบคุณภาครัฐที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของพลังงานสะอาดและพลังงานไฟฟ้า ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นการให้สัญญานที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมากับภาคเอกชน ว่านี่คือสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือเรื่องของการให้ Incentive ในการใช้ยานยนต์พลังงานสะอาดผ่านกระบวนการทางภาษีหรือกระบวนการอื่นๆที่ผู้ประกอบการจะได้ประโยชน์เพราะผมคิดว่านโยบายลักษณะนี้มีให้เห็นแล้วในต่างประเทศและประสบความสำเร็จ สร้างอุตสาหกรรมลักษณะนี้ได้แท้จริง เช่น ในไต้หวัน และยุโรป เพราะฉะนั้นความชัดเจนของภาครัฐจึงช่วยให้เอกชนมีความมั่นใจในการลงทุน ซึ่งเราก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย " คุณอาร์ชวัส กล่าว
ในอนาคตเรามองว่าพลังงานไฟฟ้าที่จะเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆคือธุรกิจมอเตอร์ไซค์สันดาป ทุกวันนี้ในประเทศไทยเรามีอยู่ประมาณ 20 ล้านคัน เอเชียตะวันออกเฉียใต้มีอยู่ประมาณ 150-200 ล้านคัน ซึ่ง ETRAN ค่อนข้างโชคดีที่ดำเนินธุรกิจนี้ในภูมิภาคที่สินค้าเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว
ด้านคุณชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติเข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญในบริษัท อีทราน (ไทยแลนด์) จำกัด จำนวน 157,500 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 100 บาท ในราคา 382.22 บาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 35% ของทุนจดทะเบียนของ อีทราน ด้วยมูลค่ารวม 60.20 ล้านบาท ซึ่งจะชำระค่าหุ้น สามัญของ ETRAN โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทในลักษณะ การเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) แทนการชำระด้วยเงินสด จำนวนไม่เกิน 31.5 ล้านหุ้น มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในราคาเสนอขายหุ้นละ 2.72 บาท คิดเป็นมูลค่า 60.20 ล้านบาท (Share Swap) โดยมีอัตราแลกเปลี่ยนหุ้นเท่ากับ 1 หุ้นใหม่ของ อีทราน ต่อ 140.52 หุ้น ใหม่ของบริษัท และมี Angle investor หรือนักลงทุนอิสระ ได้ร่วมระดมทุนแบบเงินสด จำนวน 43 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเข้าลงทุนในอีทรานสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ในการมองหาธุรกิจที่มีศักยภาพ ในการเติบโตเพื่อสร้าง New S-curve ซึ่งเล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่ กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการ Growth Cycle ซึ่งการร่วมลงทุนครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ มีธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น เป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจและต่อยอดจากธุรกิจเดิม อีกทั้งจะช่วย สนับสนุนให้ผลดำเนินการของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องและก้าวกระโดด ได้ในอนาคต โดยคาดว่าอีทรานจะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป
" ในการระดมทุนรอบนี้เราเป็น lead investor และมี Angle investor เข้ามาด้วย ซึ่งช่วงแรกเรามองว่าเงินระดมทุนที่เข้ามา 43 ล้านบาท เพียงพอที่จะใช้ในการลงทุนเพิ่มไลน์เพื่อผลิตรถส่งมอบยาวไปจนถึงไตรมาส1-2 ปี 2565 ส่วน Share Swap ที่เราเอาใส่เข้ามาใน ETRAN ก็จะเป็นส่วนที่เราเอาไว้สำรอง เผื่อจำเป็นใช้ในการฉุกเฉิน กรณีมีการขายหุ้นในตลาดบ้าง เพื่อเป็นการสร้าง free float ในตลาดให้กับ NDR ด้วย และอีกส่วนหนึ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อ ETRAN เรามองว่ายานยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์ที่ดี เพราะฉะนั้นเมื่อ ETRAN ที่ได้ถือหุ้นของ NDR อยู่ก็จะได้ประโยชน์ส่วนนึงจากการที่มูลค่าของหุ้น NDR ปรับตัวดีขึ้น ในขณะเดียวกัน NDR เรามีกำไรและจ่ายปันผลทุกปี เพราะฉะนั้นตอนที่เรามีกระแสเงินสดเพียงพอ ETRAN ก็จะถือหุ้นไว้และสามารถได้เงินปันผลจาก NDR ก็มองว่าจะเป็นเงินที่จะใช้ในการต่อยอดการผลิต และขยายฐานการผลิตของ ETRANได้ " คุณชัยสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ เอ็น.ดี.รับเบอร์ ได้ประกาศผลประกอบการในไตรมาส 1/2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564) ของบริษัทฯเติบโตกว่าไตรมาส 1/2563 โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 200.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.28 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 17.74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 170.63 ล้านบาท และพลิกมามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.63 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 501.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 2.72 ล้านบาท
โดยสาเหตุที่ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯได้เพิ่มช่องทางการขายใหม่ที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปีก่อน รวมถึงได้รับปัจจัยบวกจากตลาดต่างประเทศที่ยังมีการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในประเทศลาวและประเทศกัมพูชา
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด