
วงการแพทย์และ AI ก้าวไปอีกขั้น! นักวิจัยจาก Mass General Brigham ได้พัฒนา AI สุดล้ำชื่อ "FaceAge" ที่แค่เห็นหน้าก็ทาย "อายุ" ของเราได้เลย ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือ AI ตัวนี้ไม่ได้บอกแค่อายุตามวันเกิด แต่บอกได้ถึง “อายุชีวภาพ” หรืออายุร่างกายจริงๆ รวมถึงแนวโน้มการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง
งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร The Lancet Digital Health ระบุว่า รูปหน้าของเรามีข้อมูลที่สะท้อนถึงการเสื่อมสภาพของร่างกาย และสามารถใช้ทำนายผลการรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ด้วย
FaceAge ใช้เทคโนโลยี AI ขั้นสูง (Deep Learning) ที่สามารถจับสังเกตรูปแบบซับซ้อนในรูปภาพ เพื่อวิเคราะห์ริ้วรอยและลักษณะต่างๆ บนใบหน้า AI ตัวนี้ได้รับการฝึกจากรูปถ่ายเกือบ 59,000 รูปของคนที่มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อให้มันเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงตามวัยและสามารถสังเกตความผิดปกติที่อาจบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่ไม่เห็นได้ง่าย
พอเอา FaceAge ไปลองกับคนไข้มะเร็งกว่า 6,000 คน โดยใช้รูปถ่ายตอนเริ่มฉายรังสี พบเรื่องน่าสนใจว่า คนไข้มะเร็งส่วนใหญ่มี "อายุชีวภาพ" จาก FaceAge แก่กว่าอายุจริงเฉลี่ย 5 ปี! เหมือนกับว่าใบหน้าของพวกเขาสะท้อนให้เห็นว่าร่างกายทรุดโทรมไปแค่ไหนจากโรคมะเร็งและการรักษา
ที่สำคัญคือ ถ้า FaceAge ประเมินว่าใครดูแก่กว่าวัย โอกาสรอดชีวิตโดยรวมก็จะลดลงตามไปด้วย แม้จะเอาปัจจัยอื่นๆ อย่างอายุจริง เพศ หรือชนิดมะเร็งมาคิดด้วยแล้วก็ตาม โดยเฉพาะคนที่ FaceAge ประเมินว่าดูแก่เกิน 85 ปี ยิ่งมีโอกาสรอดน้อยลงไปอีก FaceAge เลยอาจเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยหมอวางแผนการรักษาให้เหมาะกับแต่ละคนได้
การทายว่าใครจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหนเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหมอ ทีมวิจัยให้หมอ 10 คนประเมินโอกาสรอดชีวิตระยะสั้นจากรูปภาพของคนไข้ 100 คนที่กำลังรักษาแบบประคับประคอง ผลการทดสอบพบว่า หมอสามารถทายได้ไม่แม่นยำเท่าการสุ่ม แต่เมื่อได้รับข้อมูลจาก FaceAge ช่วยเสริม ความแม่นยำในการประเมินของหมอก็ดีขึ้นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่า AI สามารถเสริมทักษะและประสบการณ์ของหมอได้จริงๆ
ประโยชน์ของ FaceAge ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรคมะเร็ง เพราะหน้าตาเรามันฟ้องสุขภาพและความแก่ของร่างกายอยู่แล้ว ซึ่งก็มาจากทั้งพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และโรคภัยไข้เจ็บ การที่ AI อ่านข้อมูลเหล่านี้ได้จากแค่รูปถ่ายธรรมดาๆ เปิดโอกาสให้เราหาตัวบ่งชี้โรคใหม่ๆ จากแค่รูปถ่าย ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ต้องเจ็บตัว และหาได้ทั่วไป อาจจะช่วยให้เราเจอโรคเรื้อรังได้เร็วขึ้น หรือติดตามสุขภาพโดยรวมได้ง่ายขึ้นด้วย
แน่นอนว่า FaceAge ยังต้องทดสอบอีกเยอะในคนกลุ่มต่างๆ และสถานการณ์ที่หลากหลาย ก่อนจะเอามาใช้จริงในโรงพยาบาล รวมถึงต้องดูด้วยว่าศัลยกรรมหรือการแต่งหน้าจะทำให้ผลเพี้ยนไปไหม
ที่สำคัญอีกอย่างคือ ต้องมีกฎกติกาที่ชัดเจนและโปร่งใสในการใช้ AI แบบนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเทคโนโลยีนี้จะเข้ามา "ช่วย" หมอตัดสินใจ ไม่ใช่มา "แทนที่" หมอ ถ้าทำได้ FaceAge จะเปลี่ยนวิธีที่หมอประเมินความแก่ของร่างกาย และช่วยให้การรักษามีความแม่นยำและเหมาะกับแต่ละคนมากขึ้น
หนึ่งในทีมวิจัย บอกว่า ภาพเซลฟี่ธรรมดาๆ แฝงข้อมูลชีวภาพล้ำค่าที่เราอาจมองข้ามไป วิธีนี้เปลี่ยนข้อมูลในชีวิตประจำวันให้กลายเป็นข้อมูลสำคัญทางการแพทย์ ที่ช่วยให้การพยากรณ์โรคและการดูแลผู้ป่วยดีขึ้นได้
อ้างอิง: scienmag
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด