Facebook บริษัท Social Media ที่มีผู้ใช้งานมากเป็นอันดับ 1 ของโลก ได้ทำการ "Big Change" โดยตั้งบริษัทใหม่ ชื่อว่า Meta ขึ้นมาเป็นบริษัทแม่ แล้วดึง Facebook ลงไปเป็นบริษัทลูกของ Meta อีกที
นับจากนี้เป็นต้นไป Facebook จะมีสถานภาพกลายเป็นเพียงหนึ่งในบริการของบริษัท Meta เทียบเท่ากับ Instagram และ WhatsApp
แล้วทำไม? Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ถึงตัดสินใจทำเช่นนี้ล่ะ ในเมื่อปัจจุบัน Facebook ก็มีสถานะเป็น Social Media อันดับ 1 ของโลก เป็นไปได้ยากที่จะมีใครมาโค่นล้มลงได้ และก็คงเป็นไปไม่ได้ที่คนส่วนใหญ่ของโลกจะเลิกใช้งาน Facebook
แต่จำได้ไหม? ในอดีตเคยมี Social Media ที่โด่งดังมากๆ อย่าง msn และ hi5 แต่บัดนี้กลับเสื่อมความนิยมไป และถูกแทนที่ด้วย Facebook
แม้แต่บริษัทที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากๆ อย่าง Nokia BlockBuster และ Kodak ก็ต้องล่มสลายลง ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่า ทุกธุรกิจทุกบริษัทจำเป็นต้องมีการปรับตัวเสมอ เพื่อให้สามารถดำรงอยู่รอดต่อไปได้
และ Zuckerberg มองว่า “Metaverse” คือ เทคโนโลยีแห่งอนาคต ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
Metaverse เป็นชื่อเรียกของเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง ที่ผสมผสานเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) กับ Virtual Reality (VR) เข้าด้วยกัน จากเดิมที่เจ้าทำได้แค่ “ดู ฟัง อ่าน พูด พิมพ์” ผ่านหน้าจอของโทรศัพท์มือถือเท่านั้น
แต่ Metaverse นั้นเหนือไปกว่านั้นมาก เพราะมันทำให้เจ้าสามารถ “ใช้ชีวิตได้เกือบเต็มรูปแบบ” ลองนึกถึงภาพยนตร์เรื่อง The Matrix อันโด่งดังในอดีต ซึ่งเป็นโลกเสมือนที่คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นและมนุษย์สามารถเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในนั้นได้ หรือภาพยนตร์เรื่อง Ready Player One ที่มนุษย์สามารถเข้าไปในโลกของเกม มีตัวละครอวตารที่สามารถสร้างและออกแบบให้มีหน้าตา เสื้อผ้า อาชีพอย่างไรก็ได้
ทั้งนี้ Metaverse จะมีโครงสร้างทางสังคมและระบบเศรษฐกิจรวมอยู่ด้วย เจ้าสามารถดำรงชีวิต ทำงาน ไปเที่ยว ซื้อของ ดูคอนเสิร์ต ทำกิจกรรมต่างๆ ได้เสมือนกับอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงเลย
- เจ้าสามารถจัดงานปาร์ตี้ มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 1,000 คน ได้โดยไม่ต้องกลัวโรค COVID-19
- เจ้าสามารถถือครองทรัพย์สินต่างๆ ที่ครอบครองได้ยาก เช่น เป็นเจ้าของตึกสูง 100 ชั้นได้
- เจ้าสามารถปีนยอดเขา Everest ได้ทุกวัน ต่อให้พลัดตกลงมาก็ไม่ตาย และสามารถกลับไปปีนใหม่ได้ตลอด
- เจ้าสามารถไปเที่ยวในอวกาศ ท่องไปยังดวงดาวต่างๆ เดินทางไปทั่วจักรวาลได้อย่างไร้ขีดจำกัด
สิ่งเหล่านี้ ถ้าเป็นในโลกแห่งความเป็นจริง เจ้าต้องใช้เงินมากมายไม่รู้กี่ล้านล้านบาท และบางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถทำได้
แต่...เจ้าสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ในโลก Metaverse
ในอนาคตที่มนุษย์มีเวลาวันละ 24 ชั่วโมง เราอาจจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในโลก Metaverse ขณะที่โลกจริงนี้ อาจจะกลายเป็นเพียงแค่เวลานอนหลับเท่านั้น
เมื่อไม่นานมานี้ Zuckerberg ยังได้ประกาศรับพนักงานเพิ่มกว่า 10,000 ตำแหน่ง เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี Metaverse ให้เกิดขึ้นจริง และยังได้ทดลองสร้าง Horizon Workroom ที่ให้คนสวมใส่แว่นตา VR เพื่อเข้ามาประชุมและทำงานได้ในโลกเสมือนจริง
CEO ของ Meta เคยกล่าวว่า “ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า Facebook จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ จะไม่ใช่แค่บริษัท Social Media แต่จะกลายเป็นบริษัท Metaverse”
ในอนาคต Meta จะไม่มี Facebook เป็นสินค้าหลักอีกต่อไป รวมถึงสินค้าและบริการอื่นๆ หลังจากนี้ของ Meta ก็จะค่อยๆ ลดการใช้บัญชี Facebook ในการลงชื่อเข้าใช้งานลงไปด้วย ถือว่า เป็นการ Disrupt ตัวเอง ก่อนที่จะถูกคนอื่นมา Disrupt
พฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด แม้แต่ Facebook ก็ยังต้อง Change ตัวเอง เพื่อที่จะให้อยู่รอดต่อไปได้ แล้วธุรกิจของเจ้าล่ะ? เตรียมพร้อมรับมือกับโลกอนาคตแล้วรึยัง
ติดตามข่าวสาร เทคนิค ธุรกิจ Digital Transformation หรือรับบริการการปรึกษาธุรกิจ ได้ทาง Facebook ขงเบ้งสอน Digital - Change before Disrupted
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด