รัฐบาลอังกฤษประกาศเพิ่มทักษะใหม่แก้ปัญหา ‘Fake News’ และ Confirmation Bias’ เข้าไปในหลักสูตรการเรียน | Techsauce

รัฐบาลอังกฤษประกาศเพิ่มทักษะใหม่แก้ปัญหา ‘Fake News’ และ Confirmation Bias’ เข้าไปในหลักสูตรการเรียน

จากกรณีที่ประชาชนชาวอังกฤษได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนของเด็กๆ จากสื่อ Social Media ต่างๆ ทำให้รัฐบาลมีความกังวลต่อปัญหาที่เกิดขึ้น โดยล่าสุด ได้ออกมาผลักดันให้เกิดหลักสูตรเกี่ยวกับ Fake News (ข่าวปลอม) และ Confimation Bias (อคติในการเปิดรับข้อมูล โดยการเลือกเชื่อในสิ่งที่เป็นความเชื่อเดิมของตน) ให้เข้าไปอยู่ในระบบการเรียนการสอนของโรงเรียน โดยหวังว่านี่จะช่วยให้เด็กๆ สามารถแยกแยะและมีความเข้าใจที่มากขึ้นต่อสิ่งที่พวกเขาพบเห็นบนโลกออนไลน์

Damian Hinds เลขานุการกระทรวงการศึกษา กล่าวว่า คุณครูในยุคนี้ควรมีความพร้อมในการจะสอนให้นักเรียนเรียนรู้ความเสี่ยงจาก Fake News รวมถึงข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือนจากโลกออนไลน์ การผลักดันนโยบายของภาครัฐครั้งนี้ จะช่วยให้เด็กทุกคนจะได้เรียนรู้ Confimation Bias และรู้เท่าทันความเสี่ยงจากข้อมูลออนไลน์

โดยคุณครูจะให้ความรู้ในด้านการประเมินข้อมูลที่เด็กๆ เห็นในออนไลน์ และจดจำวิธีการของการพูดโน้มน้าวใจ และแยกแยะได้ว่าข้อมูลใดมีความเสี่ยงบ้าง ซึ่งนี่จะช่วยให้เด็กๆ รับรู้และตอบสนองต่อ Fake News ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างข้อมูลที่ผิดและข้อมูลที่ถูกบิดเบือนได้ เพราะการขยายตัวของข่าวปลอมสามารถ “ทำลายความไว้วางใจ ทำลายวัฒนธรรม และการเรียนรู้” กระทรวงศึกษาธิการกล่าวในแถลงการณ์

ทั้งนี้ Damian Hinds เลขานุการกระทรวงการศึกษา และ Matt Hancock เลขานุการกระทรวงสาธารณสุขจะเข้าร่วมมการประชุมเรื่องผลกระทบของ Social Media และ ข้อมูลออนไลน์ แน่นอนว่าหนึ่งในหัวข้อที่รัฐบาลกระตือรือร้นที่จะดำเนินการคือ กระแสการต่อต้านการฉีดวัคซีน ที่เกิดขึ้น

เลขานุการการศึกษายังกล่าวเสริมว่า “วันนี้เราจะพูดคุยกับ บริษัท สื่อ Social ว่าจะควบคุมการแพร่กระจายของเนื้อหาที่ทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนได้อย่างไรบ้าง เพราะหากไม่มีการดำเนินการที่แน่นอนสถานการณ์จะยิ่งแย่ลงไปอีก เนื่องจากการแพร่กระจายของข่าวปลอมล้วนมีผลต่อ ชื่อเสียงขององค์กรและสิทธิประชาธิปไตย เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นมาตั้งแต่ในอดีต ในการชวนให้ผู้คนเชื่อและบิดเบือนข้อมูลที่แท้จริง แต่ในยุคสมัยของอินเทอร์เน็ตการเกิดข่าวปลอมเป็นมากกว่าที่เคยเป็นมา เพราะมันสามารถสร้างกลุ่มคน โครงการ และเครือข่าย รวมถึงการกด ‘Likes’ ยิ่งเป็นการขับเคลื่อนข้อมูลให้ไปไกลยิ่งขึ้น

“เริ่มต้นจากข้อมูลที่ผิดสู่การทำผิดโดยเจตนา และได้รับการทำซ้ำจากข้อมูลที่ถูกบิดเบือน โยงต่อไปยังสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันถูกต้อง” นี่คือกลไกของข่าวปลอม แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้มีความสำคัญมากกว่าที่เคย โดยเฉพาะข้อมูลด้านสุขภาพ ในส่วนของข่าวคนรุ่นใหม่จำเป็นจะต้องค้นหาและประเมินแหล่งที่มาให้ดี

เราต้องการให้บริษัทด้านเทคโนโลยีช่วยกันทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้น แต่เรายังต้องมั่นใจว่าคนรุ่นใหม่เข้าใจในสื่อยุคปัจจุบัน นี่คือเหตุผลที่เราพยายามผลักดันหลักสูตรใหม่นี้เข้าไปในโรงเรียน โดยจะมีการผสมผสานระหว่าง ความสัมพันธ์ ความเป็นพลเมือง และการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ เด็กๆ จะได้เรียนทั้งเรื่องการพาดหัวข่าว Clickbait ข่าวล่อลวง ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร และทำความเข้าใจว่า Confirmation Bias จะส่งผลอย่างไรต่อการแพร่กระจายของข่าวปลอม และร่วมกันวิเคราะห์ว่าทำไมข่าวบางข่าวจึงไม่ควรเชื่อถือ

ในปีหน้ารัฐบาลจะเริ่มให้ความรู้ด้านสุขภาพซึ่งรวมถึงเนื้อหาเกี่ยวกับการมีสุขภาพที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ เนื้อหาที่ควรรู้ในระดับสากล ความสัมพันธ์ เพศศึกษาและการใช้งานอินเทอร์เน็ตในขั้นตอนต่างๆ เพื่อประโยชน์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสภาพจิตใจจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต

อ้างอิง: Independent

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Elon Musk ส่งอีเมลถึงราชกาให้เลือกลาออกหรืออยู่ต่อ เหมือนที่เคยทำกับพนักงาน Twitter ปี 2022

เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในระบบราชการสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้ง อีลอน มัสก์ ให้เป็นหัวหน้ากระทรวงเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ หรือ DOGE โดยมัสก์และทีมงานได้เดินหน้...

Responsive image

SparkCat คืออะไร ทำงานอย่างไร ? มัลแวร์ตัวแรกบน AppStore ลอบขโมยข้อมูลคริปโตผ่านรูปภาพ

มัลแวร์ SparkCat ถูกพบใน AppStore และ Google Play ใช้เทคโนโลยี OCR ขโมยข้อมูลคริปโตจากรูปภาพในแกลเลอรี ระวังการให้สิทธิ์แอปที่ไม่น่าไว้วางใจ...

Responsive image

นักวิจัยสหรัฐฯ สร้างคู่แข่ง AI จีน DeepSeek ด้วยต้นทุนแค่ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ

นักวิจัยจาก Stanford และ University of Washington สร้างโมเดล AI ด้านการให้เหตุผล s1 คู่แข่ง OpenAI o1 ด้วยต้นทุนต่ำกว่า 50 ดอลลาร์ โดยใช้เทคนิค Distillation และข้อมูลจาก Gemini 2.0...