Ananda ชี้ประวัติศาสตร์หลังจากนี้จะเป็นจุดที่ AI ฉลาดมากกว่ามนุษยชาติรวมกันทั้งหมด ส่วน SCB Abacus มอง AI และ Auto Machine จะช่วยการผลิตของโรงงานขนาดกลางและใหญ่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 3-5 ปีข้างหน้า
พูดถึง Buzzword อย่างคำว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ “Artificial Intelligence” (AI) ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ทุกคนพูดถึงอยู่ แต่ปัจจัยที่เร่งให้บทบาทของ AI มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ก็คือ Big Data ที่มีมากขึ้น และ Machine Learning ที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นนั่นเอง จนนำไปสู่ปลายทางของการให้บริการหรือการพัฒนา AI ในรูปแบบต่างๆ และจะเห็นเป็นเทรนด์ชัดเจนมากขึ้นในปีถัดๆ ไป
วันนี้เราได้สัมภาษณ์กลุ่มร่วมกับ “คุณชานนท์ เรืองกฤตยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ “ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี อบาคัส จำกัด (SCB Abacus) อีกด้วย ประเด็นที่น่าสนใจมีดังนี้
คุณชานนท์ระบุว่า ความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วมาก จนทำให้บางบริษัทไม่รู้จะปรับตัวอย่างไร พร้อมมองว่าธุรกิจด้าน IT และ Media ที่ได้รับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด
ซึ่งก็ได้ยกตัวอย่างว่าทาง Ananda มีการก่อสร้างคอนโดรอบ BTS มากที่สุด แต่ในอนาคตก็ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ ที่จะเข้ามา Disrupt คอนโดด้วยเช่นกัน อย่างรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Car) ที่จะช่วยให้การเดินทางสะดวกและใช้เวลาลดลง อาจจะยอมพาอาศัยอยู่พื้นที่ที่ไกลมากขึ้น
“พื้นฐานทุกอย่างมาจาก Exponential Thinking การทวีคูณความรู้ของมนุษยชาติทั้งหมดในประวัติศาสตร์ และเทคโนโลยีมันจะเกิดขึ้นในยุคเรา”
คุณชานนท์ยังมองว่า “เราอยู่ในจุดประวัติศาสตร์ของมุษย์ที่กำลังจะหักศอก” ภายใน 120 ปีผ่านมานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีหลายอย่าง ซึ่งเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์มนุษยชาติก็เห็นว่าเร็วและแรงมาก
และยังให้ข้อมูลว่า ประวัติศาสตร์หลังจากนี้จะเป็นจุดที่ AI ฉลาดมากกว่ามนุษยชาติรวมกันทั้งหมดอีกด้วย
โดยเสนอทางออกว่ามนุษย์ควรแบ่งปันความให้เร็วที่สุดไม่งั้นจะล้าหลัง เราควร Educate หรือให้ความรู้ต่างๆ แก่สังคมและองค์กรของตัวเองว่าจะปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร
นอกจากนี้เรายังได้สัมภาษณ์กลุ่มร่วมกับ ดร.สุทธาภา ซึ่งจะขึ้นพูดถึงอนาคตของ AI ที่จะมีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ภายใต้หัวข้อ “AI and The Future of SEA” ในงาน SingularityU Thailand Summit 2018
โดยมองเห็นเทรนด์ภายใน 3-5 ปี ว่าเครื่องจักรของโรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่ จะทำงานได้อย่างอัตโนมัติ หรือเป็น Auto Machine ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มากขึ้น ทำให้การเปลี่ยนสายการผลิตหรือ Product Line ทำได้อย่างรวดเร็วขึ้นจากเดิมใช้เวลาในการเปลี่ยน 6-8 เดือน แต่หลังจากนี้จะใช้เวลาน้อยลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ยังเห็นแนวโน้มการพัฒนา Natural Language Processing (NLP) จากทั่วโลก รวมไปถึง Southeast Asia เพื่อให้ Robotics สามารถกรองและประมวลผลข้อความจากระบบต่างๆ ได้อย่างฉลาดยิ่งขึ้น
และตอนนี้ในประเทศไทยก็เริ่มมีการพูดคุยกันมากขึ้น โดยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านก็ได้มีการจัด Thai NLP Meetup โดยมีผู้ร่วมงานสายนักพัฒนาโปรแกรมนับ 300 คนที่มาจากหลายๆ บริษัทด้วยกัน สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนา NLP ก็ได้รับความสนใจจากคนไทยอยู่ไม่น้อย
“เทคโนโลยี AI นั้นสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาล หากเรามีความเข้าใจและเลือกใช้ได้เหมาะสม รวมทั้งมีมาตรการรองรับผลกระทบทางสังคมในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ท้ายที่สุดแล้ว เราเชื่อว่า มนุษย์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการคอยดูแลเพื่อให้ AI หรือ Robotics ต่างๆ ทำงานได้อย่างถูกต้องและปกป้องจากการถูกเจาะเข้าระบบ” ดร.สุทธาภา กล่าวสรุป
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด