G-Able เปิดแผนธุรกิจปี 65 เร่งสปีดสู่ผู้นำด้าน Tech Enabler ชู 3 กลยุทธ์หลัก ผลักดันการเติบโตแบบก้าวกระโดด หนุนลูกค้าเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และความปลอดภัยจากภัยไซเบอร์ในยุคดิจิทัล พร้อมเร่งปั้นยอดขายหวังรายได้ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี
กลุ่มบริษัทจีเอเบิล (G-Able) ผู้นำด้าน "Tech Enabler" ที่ช่วยยกระดับธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลในทุกมิติ ด้วยประสบการณ์กว่า 33 ปี ที่มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าในการทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง และก้าวสู่ความสำเร็จขององค์กรตามเป้าหมาย
ซึ่งในฐานะที่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ได้มีการเข้าไปช่วยซัพพอร์ตลูกค้ามากมายในหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อให้เปลี่ยนผ่านจาก Analog สู่ Digital แน่นอนว่าในปีที่ผ่านมาทั้งยอดขายและรายได้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก โดยสามารถทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา
ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทจีเอเบิล ได้กล่าวภายในงานแถลงแผนธุรกิจ G-Able Reshaping the Next ที่พูดคุยถึงทิศทางและแผนดำเนินงานธุรกิจ อีกทั้งศักยภาพความพร้อมทางเทคโนโลยีการขับเคลื่อนธุรกิจแบบก้าวกระโดดในยุคดิจิทัล ว่า ทุกอย่างเป็นได้ตามคอนเซ็ปต์ G-Able Tree Strategy ที่ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งได้เปรียบธุรกิจของจีเอเบิลเสมือนต้นไม้ที่มีธุรกิจหลักเป็นรากฐานอันมั่นคง ไปจนถึงลำต้นและแตกแขนงกิ่งก้านอย่างแข็งแรงเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้สามารถยกระดับจาก SI++ (System Integration Plus Plus) ไปจนถึงนับจากนี้ที่จีเอเบิลจะเรียกตัวเองว่า “Tech Enabler” ซึ่งหมายถึงผู้ที่นำศักยภาพความพร้อมของเทคโนโลยีในทุกๆ ด้าน เพื่อผลักดันและสนับสนุนลูกค้าให้สามารถทำการแข่งขันได้ในโลกดิจิทัล
เริ่มต้นจากฐานรากเมื่อดูจาก Port ของธุรกิจหลัก อย่างเช่น การให้บริการของกลุ่มโซลูชัน Cybersecurity (G Security) มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) 42% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
พร้อมกับรายได้ที่ขยายตัวเกินความคาดหมาย ด้วยยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าจีเอเบิลเป็นผู้นำทางด้าน Cybersecurity ของประเทศไทย และอีก Area ที่สำคัญคือ กลุ่มธุรกิจโซลูชชัน Cloud Technology Platform หรือ G Cloud ที่มีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ถึง 33% ในช่วง 3 ปีเช่นกัน
โดยส่วนหนึ่งมาจากความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มสูงมากขึ้น เนื่องจากวิธีการทำงานในโลกสมัยใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทกับการทำงานในปัจจุบันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ความต้องการของ Hybrid Workplace ทำให้ทุกธุรกิจต้องการปรับวิธีการทำงานสู่ Work From Home, Work From Anywhere หรือ Work From Anytime มากขึ้น
นอกจากนั้น Port การให้บริการกลุ่มโซลูชัน Data Analytics หรือ G Big Data เติบโตสูงถึง 33% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และในขณะที่พอร์ต Digital Product Development Service ที่บริษัทฯ ได้เข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซอฟต์แวร์ และแพลตฟอร์มต่างๆ ให้กับลูกค้า หรือที่เรียกว่า G Digital Product ก็เติบโตขึ้นถึง 76% ในระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็น Advanced Solution Technology ที่สามารถทำกำไรของจีเอเบิลสูงขึ้น และมีกำไรขั้นต้น (GP) สูงขึ้นถึงเกือบ 200 BPS ในปี 2021 และนี่คือความสำเร็จในส่วนของธุรกิจหลักของจีเอเบิล ซึ่งถือว่าเป็น cash cow และฐานรากที่สำคัญของบริษัท
ถัดมาคือในส่วนของลำต้นที่ให้บริการด้านการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีของลูกค้าสู่ Digital หรือที่มักจะคุ้นกันก็คือ Digital Transformation ด้วย Transformation As A Service หรือ TAAS เข้าไปช่วยลูกค้าหลายรายในการวางแผนทรานฟอร์มองค์กรในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การบริหารกิจการโรงรับจำนำ เพื่อให้ลูกค้าสามารถตีราคาสินทรัพย์แบบรวมศูนย์ได้ หรือ การเข้าไปช่วยกิจการแลกเปลี่ยนเงินให้ปรับเปลี่ยนสู่รูปแบบ International Virtual Bank
หรือแม้กระทั่งความคิดริเริ่มที่จะนำ Blockchain มาใช้กับการบริหารทรัพยากรบุคคลทั้งของลูกค้า และภายในบริษัทฯ เอง และสิ่งเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ยอดขายเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ในส่วนของกิ่งก้าน ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายกลยุทธ์เพื่อเร่งการเติบโตของ จีเอเบิล โดยได้มีการสร้าง IP Platform จากธุรกิจที่เป็น potential growth ไม่ว่าจะเป็นบริษัท Blendata หรือ InsightEra มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา และได้มีการตั้งเป้าที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้จะเป็นส่วนช่วยในการขยายตลาดให้กับ จีเอเบิลและทำให้เป้าหมายการเป็น High Profit Margin Company เป็นจริงได้
นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของเราที่จะ “Reshaping the Next” หรือการสร้างการเติบโตจากโอกาสที่มีอยู่ในตลาดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ประกอบกับวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่ชัดเจน พร้อมกับการมีผลิตภัณฑ์และบริการที่ดี ทำให้จีเอเบิลสามารถช่วยยกระดับลูกค้าในหลายอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลที่พร้อมสำหรับอนาคต และทั้งหมดนี้คือภาพรวมความสำเร็จในปีที่ผ่านมาที่ชี้ชัดว่า จีเอเบิลได้เดินมาถูกทางและจะเดินต่อไปไม่หยุดยั้ง
ดร.ชัยยุทธ ได้กล่าวต่อไปว่า วันนี้ธุรกิจทั้งหมดกำลังเผชิญกับ K-SHAPE Dilemma ที่วัดกันว่าใครจะได้ไปต่อจากการปฏิวัติในครั้งนี้ และหากธุรกิจใดไม่สามารถปรับตัวได้ความน่ากลัวคือธุรกิจนั้นจะตกขบวนและหายไปจากโลกนี้ ดังนั้นทางรอดคือ ทางที่ขึ้นไปข้างบนและปรับเปลี่ยนตนเอง
ทั้งนี้จากข้อมูลของ Gartner ระบุว่า การลงทุนทางด้าน IT ทั่วโลกจะเพิ่มสูงถึง 4.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า GDP ของประเทศเยอรมันนี ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 4 ของโลก ส่วนประเทศไทยนั้นคาดว่าการเติบโตทางด้าน IT จะสูงถึง 870,000 ล้านบาท และนี่คือโอกาสขนาดใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า
เพื่อสร้างจุดเด่นและความแตกต่างในการให้บริการ ภายใต้วิสัยทัศน์ในการดำเนินงานดังนี้
กลยุทธ์ที่ 1 ซึ่งเป็น Core business ที่เปรียบเหมือนฐานรากของต้นไม้ โดยบริษัทฯ ได้ยกระดับจากการเป็น SI++ สู่ "Tech Enabler" ซึ่งจะนำศักยภาพความพร้อมทางเทคโนโลยีในทุกด้าน ไปช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและต่อยอดโอกาสทางธุรกิจในโลกดิจิทัลให้กับลูกค้า อีกทั้งความสามารถในรับมือกับวิกฤติในอนาคตด้วยเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัยและยืดหยุ่น ซึ่งในปีนี้ จีเอเบิล จะมุ่งเน้นกลุ่มโซลูชัน G Security และ G Cloud
ซึ่ง Gartner ได้พยากรณ์ไว้ว่า ไวรัสคอมพิวเตอร์จะมีความสามารถในการสังหารมนุษย์ได้ภายในปี 2025 แต่หากมองอีกมุมหนึ่งวิกฤตที่ว่านี้อาจจะเป็นโอกาสในการเร่งการเติบโตของตลาด Cybersecurity ซึ่งคาดว่าในปีนี้ในประเทศไทยจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 20% โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้ในปีนี้ ตัวเลขการเติบโตจะสูงยิ่งขึ้น
กลุ่มโซลูชัน G Security มุ่งเน้นคอนเซ็ปต์และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าอย่าง Cybersecurity Mesh Architecture และ Zero Trust Network Access ที่พร้อมจะให้บริการเร็วๆนี้
โดยบริษัทฯ วางแผนเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าทุกระดับตั้งแต่ขนาดกลางถึงขนาดเล็ก สามารถเข้าถึงโซลูชันที่ล้ำสมัย เพื่อปกป้องระบบและข้อมูลจากภัยไซเบอร์ ด้วยต้นทุนที่จับต้องได้ พร้อมกันนี้จีเอเบิลมีแผนการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพ เพื่อร่วมพัฒนากลุ่มโซลูชัน Cybersecurity ให้แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมขึ้นเป็นผู้นำด้าน Cybersecurity อันดับ1 ของประเทศไทยที่มียอดขายมากกว่า 1,000 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายธุรกิจให้เติบโตกว่าเท่าตัว ภายใน 3 ปี
กลุ่มโซลูชัน G Cloud ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของธุรกิจใน VUCA World โลกยุคใหม่ที่มี ความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และคลุมเครือ (Ambiguity) ซึ่ง Cloud Technology จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ พร้อมกับมีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับให้พนักงานของทุกองค์กรธุรกิจทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเติบโตของ Cloud ทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้นสูงถึง 23% ในปีที่ผ่านมา ดังนั้น จีเอเบิล ซึ่งทำรายได้มากถึง 330,000 ล้านเหรียญ ถ้าเทียบจากปี 2020 ที่อยู่ที่ 270,000 ล้านเหรียญ และมีการคาดการณ์ว่าในปีนี้จะโตถึง 400,000 ล้านเหรียญ ดังนั้นฐานะหนึ่งในผู้นำด้าน Cloud Technology รายใหญ่ในประเทศไทย จึงได้ตั้งเป้าการเติบโตประมาณ 400 ล้านบาทในปี 2565
กลุ่ม Advance Integration Solution เป็นการนำเอาโซลูชันต่างๆ เช่น Digital Product Development Solution, Business Intelligence, Data Analytics และเทคโนโลยีอื่นๆ มาหลอมรวมและเสริมแกร่งซึ่งกันและกันเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้แก่ลูกค้า โดยคาดการเติบโตเป็นเลข 2 หลักในทุก Portfolio
กลยุทธ์ที่ 2 เป็นส่วนของลำต้น จีเอเบิลจะผันตัวเองให้เป็นมากกว่า Digital Transformation Advisor หรือ Vendor ที่เพียงให้คำปรึกษา โดยจะทำงานควบคู่กับลูกค้าในฐานะ Business Enabler โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง Data Modernization ที่บริษัทฯ จะผสานจุดแข็งของธุรกิจลูกค้าเข้ากับจุดแข็งทางเทคโนโลยีของ จีเอเบิลเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ร่วมกัน
กลยุทธ์ที่ 3 ที่เปรียบเสมือนกิ่งก้านของต้นไม้ บริษัทฯ มุ่งเสริมแกร่งด้วยกลุ่มธุรกิจ Tech Spin-off ซึ่งเป็นกลุ่ม Startup ของจีเอเบิลที่ต่อยอดมาจากกลยุทธ์ Own IP Platform หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ลิขสิทธิ์ของ จีเอเบิล ในปีที่แล้ว ควบคู่ไปกับการเพิ่มมูลค่าธุรกิจสูงสุดในแต่ละบริษัทที่เป็น potential growth รวมถึงเป็นการสร้าง new S-Curve ให้กับ จีเอเบิล ด้วย โดยทั้ง 3 บริษัท ได้แก่ Blendata, InsightEra และ MVerge จะเป็นตัวช่วยเร่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดให้แก่กลุ่มบริษัท แต่ทั้งนี้ธุรกิจก็ยังคงต้องการอีก 3 สิ่งเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
1. ธุรกิจจะต้องมี AI และ Big Data ที่เปรียบเสมือนมันสมองของธุรกิจที่ชาญฉลาด ที่จะทำให้ธุรกิจสามารถจับตลาดได้เร็วและบ่อยกว่าคู่แข่ง
2. ธุรกิจควรเข้าถึง MarTech ที่จะช่วยให้ธุรกิจจับพฤติกรรมใหม่ๆ ของผู้บริโภค
3. Metaverse โลกอีกใบคือโอกาสในการเข้าไปจับจอง
และเป็นส่วนต่อขยายกลยุทธ์ของ จีเอเบิล และแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่การเป็น High Profit Company ของจีเอเบิล
Blendata (เบลนเดต้า) ซึ่งได้เปิดตัวเมื่อกลางปีที่ผ่านมา โดยมุ่งพัฒนา Blendata platform ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลทั้งหมดขององค์กรมาไว้ที่เดียว เพื่อให้การใช้งานและจัดการกับข้อมูลมีประสิทธิภาพสูงสุด นำมาประมวลผลและวิเคราะห์สำหรับต่อยอดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต โดยไม่ต้องเขียน Code และในปี 2565 เบลนเดต้ามุ่งพัฒนา Ready to use Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning Solution ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถใช้ Big Data ได้มีประสิทธิผลมากขึ้น
พร้อมทั้งยกระดับความเร็วเหนือกว่าคู่แข่งและการใช้ง่ายที่เข้าถึงได้ทุกเวลาที่ต้องการ โดยที่ผ่านมามีลูกค้าจากหลากหลายธุรกิจไม่ว่าจะเป็น Manufacturing ที่ได้เข้าไปทำระบบ Data automation ให้ข้อมูลขององค์กรพร้อมใช้งาน อีกทั้งธุรกิจโทรคมนาคม โรงพบาบาล และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2 ตัว ซึ่งตั้งเป้าการเติบโตกว่าเท่าตัว หรืออีก 100% ในปีนี้
InsightEra (อินไซต์เอรา) นำเสนอ MARTECH หรือ Marketing Technology เป็น Platform ใหม่ของการตลาดที่ช่วยให้องค์กรแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล ช่วยให้ลูกค้าสามารถจับพฤติกรรมใหม่ ๆ ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้ โดยให้ความสำคัญกับสิ่งที่การตลาดแบบเดิมไม่สามารถให้ได้นั่นคือ “ความเร็ว” และ “ความแม่นยำ” เป็นหลัก ทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองตลาดได้แบบ Real-time และตรงความต้องการผู้บริโภคอย่างแท้จริง ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถกำหนดและปรับกลยุทธ์การตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ลูกค้าเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของยอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ และยังสามารถวัดอิมแพคของแคมเปญที่ออกไปได้อีกด้วย ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา InsightEra เติบโตมากกว่า 200% ส่วนในปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตอีกหนึ่งเท่าตัว
MVerge (เอ็มเวิร์จ) มุ่งพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการและเทรนด์ของตลาดในยุคดิจิทัล โดย MVerge ได้พัฒนา Platform ตัวใหม่ชื่อว่า “SPACE” ซึ่งเป็นการนำ Advance Technology มาช่วยในการบริหารจัดการพื้นที่ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน โดยช่วยจำลองสถานที่ กำหนดพื้นที่ให้ผู้เช่า ออกแบบอาคาร ร้านค้าและโฆษณา พร้อมกับนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อให้สามารถเห็น Customer Journey และ Customer Insight ได้มากขึ้น และกำลังจะพัฒนา Smart Tenancy Contract บน Blockchain และรองรับการชำระเงินในรูปแบบ Cryptocurrency
ซึ่งจะทำให้สามารถทำธุรกรรมและสัญญาในรูปแบบ Digital ได้อีกด้วย อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสให้ร้านค้าเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากขึ้นด้วยคอนเซปต์ Omnichannel ที่เชื่อมร้านค้าทั้งโลกจริงและโลกเสมือนอย่างไร้รอยต่อ นอกจากนี้ยังสามารถนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อให้เห็นแนวทางการตัดสินใจและความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ โดยปัจจุบันได้ปิดดีลกับ Landlords ในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งคาดว่า MVerge จะเติบโตได้มากกว่า 100% และหากมีผู้ใช้งานในโลก Metaverse เพิ่มขึ้น MVerge ก็จะหลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในตลาดเช่นกัน
ขณะเดียวกันปี 2565 ถือเป็นปีที่สำคัญของจีเอเบิลที่จะผลักดันให้ Tech Spin-Off สามารถยืนอย่างแข็งแกร่งได้โดยร่วมกับ Strategic Partner และ Investor Community โดยผ่านการระดมทุนที่จะเริ่มขึ้นในไตรมาสนี้
พร้อมกับเปิดรับ New Gen และ New Team อย่าง Programmer, Developer, Data Scientist ขณะเดียวกันนอกจาก 3 กลยุทธ์หลักที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัทจีเอเบิล แล้ว บริษัทฯ ยังมีแบ็คล็อก (Backlog) หรือยอดขายที่รอการรับรู้รายได้มากกว่าเท่าตัวตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดยอดขายมีมูลค่ามากกว่า 3,000 ล้านบาท
ทั้งนี้สัดส่วนของรายได้ประจำมีมากกว่า 40% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูง แต่เราก็ยังมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำต่อรายได้รวมให้ขึ้นไปถึง 50% ก็จะมาจาก New Business Model ซึ่งรายได้ลักษณะนี้จะเป็นฐานที่มั่นคงและจะต่อยอดการเติบโต และจะช่วยให้การบริหารจัดการ Profit and Loss ยืดหยุ่นได้มากขึ้น พร้อมตั้งเป้าเติบโตยอดขายหนึ่งเท่าตัว จาก 5,000 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด