ภายในปี 2026 Gartner คาดว่า 10% ขององค์กรขนาดใหญ่ จะมีโปรแกรม Zero-Trust ที่สมบูรณ์-วัดผลได้ | Techsauce

ภายในปี 2026 Gartner คาดว่า 10% ขององค์กรขนาดใหญ่ จะมีโปรแกรม Zero-Trust ที่สมบูรณ์-วัดผลได้

Zero-Trust ถือเป็นกระบวนการด้านความปลอดภัยสำคัญที่จะช่วยสร้างเกราะป้องกันให้กับองค์กรธุรกิจ สำหรับรับมือกับภัยคุกคามและการโจมตีทางไซเบอร์ที่นับวันทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

Zero Trust จัดเป็นกลยุทธ์ลดความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดขององค์กรส่วนใหญ่ แต่มีองค์กรไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ดำเนินการ Zero-Trust ได้สำเร็จ การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดการณ์ว่าภายในปี 2569 ประมาณ 10% ขององค์กรขนาดใหญ่จะมีโปรแกรม Zero-Trust ที่ใช้ได้อย่างสมบูรณ์และวัดผลได้ เพิ่มขึ้นจาก ณ ปัจจุบันที่มีไม่ถึง 1%

การ์ทเนอร์ให้คำจำกัดความของ Zero Trust ว่าเป็นกระบวนการด้านความปลอดภัยที่สามารถระบุผู้ใช้และอุปกรณ์ได้อย่างชัดเจน พร้อมยังให้สิทธิ์การเข้าถึงในขอบเขตที่เหมาะสม เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้โดยลดแรงเสียดทานให้น้อยที่สุดและมีความเสี่ยงต่าง ๆ ลดลง

คุณ จอห์น วัตส์ รองประธานฝ่ายวิจัยของ การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “หลายองค์กรติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานด้วยโมเดลความปลอดภัยที่คลุมเครือแทนที่จะเลือกใช้โมเดลที่มีความชัดเจน เพื่อให้การเข้าถึงและการดำเนินงานสำหรับพนักงานและตัวงานได้ง่าย ซึ่งแฮกเกอร์จะใช้จุดนี้เพื่อติดตั้งมัลแวร์ จากนั้นขยายวงการโจมตีให้กว้างขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ Zero-Trust คือการเปลี่ยนแปลงแนวคิดสำหรับจัดการกับภัยคุกคามเหล่านี้ โดยอาศัยการประเมินอย่างต่อเนื่อง การคำนวณที่ชัดเจน และการกำหนดระดับความไว้วางใจที่ปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive Trust) ระหว่างผู้ใช้ อุปกรณ์ และทรัพยากร”

 ผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (หรือ CISO) และผู้นำด้านการบริหารความเสี่ยงจำเป็นอย่างยิ่งต้องเริ่มพัฒนากลยุทธ์ Zero-Trust ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างสมดุลระหว่างความต้องการด้านความปลอดภัยกับความจำเป็นการดำเนินธุรกิจเพื่อช่วยให้องค์กรดำเนินการตามขอบเขตการใช้งาน Zero-Trust ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“นั่นหมายถึงการเริ่มต้นด้วยการสร้างกลยุทธ์ขององค์กร พร้อมกำหนดขอบเขตของโปรแกรม Zero-Trust เมื่อมีการกำหนดกลยุทธ์ดังกล่าวพร้อมแล้ว ผู้บริหาร CISO และผู้นำด้านการบริหารความเสี่ยงขององค์กรจะต้องเริ่มด้วยการระบุตัวตน ซึ่งเป็นพื้นฐานของ Zero-Trust และนอกเหนือจากการปรับปรุงทางด้านเทคโนโลยีแล้ว ยังหมายรวมถึงด้านบุคลากรและกระบวนการในการสร้างโปรแกรมการจัดการข้อมูลประจำตัวเหล่านั้นด้วย” วัตส์กล่าวเพิ่มเติม 

“อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร CISO และผู้นำด้านการบริหารความเสี่ยง ไม่ควรคิดไปเองว่า Zero-Trust จะช่วยขจัดภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้หมดสิ้นไป แต่ Zero-Trust ช่วยลดความเสี่ยงและจำกัดวงผลกระทบของการโจมตีได้”

นักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่าจนถึงปี 2569 การโจมตีทางไซเบอร์มากกว่าครึ่งจะมุ่งไปยังเป้าหมายที่มาตรการรักษาความปลอดภัย Zero-Trust ยังไม่ครอบคลุมและเข้าไปช่วยบรรเทาความเสี่ยงไม่ได้ 

คุณ เจเรมี่ เดอฮูน รองประธานฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า "พื้นที่การถูกโจมตีขององค์กรกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมุ่งไปที่สินทรัพย์และช่องโหว่ที่อยู่นอกขอบเขตของสถาปัตยกรรมZero-Trust (ZTAs) โดยมันสามารถมาในรูปแบบของงานสแกนและใช้ประโยชน์จากช่องทางการพัฒนา APIs ที่เปิดแบบสาธารณะหรือการพุ่งเป้าไปยังพนักงานโดยผ่านเทคนิคการหลอกลวงให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูล (Social Engineering) การกลั่นแกล้งหรือใช้ประโยชน์จากข้อบกพร่องเนื่องจาก "ช่องทางลัด" ที่พนักงานเป็นผู้สร้างเอง เพื่อหลบเลี่ยงมาตรการความปลอดภัยของ Zero-Trust ที่เข้มงวด” 

การ์ทเนอร์แนะนำองค์กรธุรกิจให้หันมาปรับใช้แนวทาง Zero-Trust เพื่อลดความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่มีความเปราะบางเป็นลำดับแรก เนื่องจากเป็นจุดสำคัญสุดที่จะเกิดความเสี่ยง อย่างไรก็ตามแนวทาง Zero Trust ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความต้องการด้านความปลอดภัยทั้งหมด ผู้บริหาร CISO และผู้นำด้านการบริหารความเสี่ยงยังต้องใช้โปรแกรม Continuous Threat Exposure Management (CTEM) เพื่อปรับปรุงรายการทรัพย์สิน พร้อมปรับระดับการเปิดช่องให้การคุกคามใด ๆ ที่อยู่นอกขอบเขตของ ZTA

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Elon Musk ส่งอีเมลถึงราชกาให้เลือกลาออกหรืออยู่ต่อ เหมือนที่เคยทำกับพนักงาน Twitter ปี 2022

เกิดแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในระบบราชการสหรัฐฯ หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้ง อีลอน มัสก์ ให้เป็นหัวหน้ากระทรวงเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ หรือ DOGE โดยมัสก์และทีมงานได้เดินหน้...

Responsive image

SparkCat คืออะไร ทำงานอย่างไร ? มัลแวร์ตัวแรกบน AppStore ลอบขโมยข้อมูลคริปโตผ่านรูปภาพ

มัลแวร์ SparkCat ถูกพบใน AppStore และ Google Play ใช้เทคโนโลยี OCR ขโมยข้อมูลคริปโตจากรูปภาพในแกลเลอรี ระวังการให้สิทธิ์แอปที่ไม่น่าไว้วางใจ...

Responsive image

นักวิจัยสหรัฐฯ สร้างคู่แข่ง AI จีน DeepSeek ด้วยต้นทุนแค่ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ

นักวิจัยจาก Stanford และ University of Washington สร้างโมเดล AI ด้านการให้เหตุผล s1 คู่แข่ง OpenAI o1 ด้วยต้นทุนต่ำกว่า 50 ดอลลาร์ โดยใช้เทคนิค Distillation และข้อมูลจาก Gemini 2.0...