ในประเทศอินโดนีเซีย Go-jek และ GrabBike กำลังแข่งขันเพื่อแย่งส่วนแบ่งในตลาดให้บริการโดยสารมอเตอร์ไซค์ พวกเขาจัดทำแคมเปญลดราคาค่าโดยสารกระหน่ำเพื่อดึงดูดเอาใจผู้ใช้งานทั้งหลาย ราคาโดยสารโปรโมชั่นจะอยู่ตั้งแต่ประมาน 12 - 24 บาท จาการ์ตาเป็นเมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซียที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีการจารจรติดขัดมากที่สุดในโลก ใครหลายๆคนจึงหันมาใช้บริการมอเตอร์ไซค์มากขึ้นเพราะความสะดวกและรวดเร็ว
ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Go-jek มียอดดาวน์โหลดใหม่กว่า 2.5 ล้านคน GrabBike มียอดดาวน์โหลด 5 แสนคน หลังจากเปิดตัวได้ 7 อาทิตย์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ดูเหมือนว่าบริษัทส่วนใหญ่ในอินโดนีเซียจะพยายามลดราคาการบริการของตัวเองให้มากที่สุดเพื่อที่จะดึงดูดความสนใจของลูกค้า
Pingkan Irwin VP marketing ของ Go-jek ได้กล่าวไว้ว่าเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการลดราคาอย่างกระหน่ำก็เพื่อที่จะดึงดูดความสนใจของคนให้มาใช้บริการกับเรา และ Cheryl Goh Global VP marketing จากฝั่งของ GrabTaxi บอกว่าตอนนี้พวกเขากำลังให้ความสนใจกับ brand awareness และพยายามจะโน้มน้าวให้คนหันมาใช้บริการ GrabBike แทน Go-jek
4 วิธีที่ทั้ง 2 บริษัทใช้เพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการและรักษาไว้ซึ่งลูกค้าเดิม
GrabBike เลือกที่จะใช้คำศัพท์ให้คนในประเทศจำง่ายสำหรับโค้ดที่เอาไว้ใช้งานหรือเพื่อรับโปรโมชั่นเป็นต้น อย่างเช่น ในช่วงถือศีลอดของศาสนาอิสลาม GrabBike จะใช้โค้ดว่า Ketupat ซึ่งเป็นชื่อของอาหารที่ได้รับความนิยมในหมู่คนมุสลิม เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียมีประชากรที่เป็นมุสลิมอยู่ส่วนใหญ่ และพอใกล้ๆจะถึงวันประกาศอิสรภาพของอินโดนีเซีย พวกเขาจะใช้โค้ดว่า Merah Putih ซึ่งแปลว่า แดงขาว สีประจำธงชาติอินโดนีเซีย Cheryl Goh ได้กล่าวว่า "การเลือกชื่อที่จำได้ง่ายสำคัญมากต่อการใช้งาน เพราะเมื่อพวกเขาเริ่มจำชื่อได้ พวกเขาก็จะใช้บริการของเรามากขึ้น"
Pingkan Irwin บอวว่า สิ่งที่ท้าทายพวกเราตอนนี้คือการสร้างสมดุลระหว่าง Demand กับ Supply เพราะการที่มีผู้คนใช้บริการของเราเป็นจำนวนมากทำให้พวกเราต้องเพิ่มจำนวนของคนขับมอเตอร์ไซค์ตามสัดส่วน และเราไม่อยากจะเสียคุณภาพในการให้บริการของเราไปกับขนาดขององค์กรที่ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งสำคัญมากที่เราจะต้องให้บริการที่ดีที่สุดให้กับทุกคนทั้งผู้ใช้บริการใหม่และเก่า
ในส่วนของ GrabBike ก็ได้พยายามเพิ่มจำนวนคนขับมอเตอร์ไซค์เช่นเดียวกัน พวกเขาจัดตั้งแคมเปญรับสมัครคนเพิ่มชื่อว่า GrabBike Kingdom มีจำนวนคนเข้าสมัครมากถึง 8000 คนเลยทีเดียว Cheryl Goh บอกว่า "พวกเรามีความภาคภูมิใจที่จะบอกว่า ผู้ใช้งานส่วนใหญ่กลับมาใช้บริการของเราอีกหลังจากครั้งแรกที่พวกเขาได้ลองใช้ GrabBike"
ธุรกิจที่ดีไม่ได้ดูแค่ตัวเลข หากแต่ดูที่ผู้คนด้วยเช่นกัน Pingkan Irwin บอกว่า พนักงานที่ขับมอเตอร์ไซค์ให้เราแชร์เรื่องราวที่น่าประทับใจ พวกเขาพูดถึงการทำงานกับพวกเราสามารถทำให้เขาสามารถส่งลูกเรียนหนังสือได้ หรือบางคนก็บอกว่าตนทำงานกับพวกเราจนสามารถเก็บเงินที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่เขารักได้
Go-jek และ GrabBike เห็นด้วยกับการที่ทั้งคู่จะต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าจะมีตัวเลขที่น่าพอใจอยู่แล้ว Pingkan Irwin บอกว่าในขณะที่บริษัทของเรากำลังเติบโต พวกเราพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อจะพัฒนาระบบแอปพลิเคชันและขยายธุรกิจไปให้ไกล พวกเราเอา feedback จากผู้ใช้บริการมาปรับปรุงอยู่ตลอด เราให้ทีมเทคนิคทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาคุณภาพของ user experience สำหรับการให้บริการที่ดีที่สุด
ด้าน GrabBike Cheryl Goh บอกว่า "ในตอนนี้คำถามก็คือว่าเราจะรักษาความเชื่อใจระหว่างบริษัทกับผู้ใช้บริการได้อย่างไร เพราะเมื่อลูกค้าให้ความไว้ใจในบริการของเราแล้ว พวกเขาจะบอกปากต่อปากไปถึงเพื่อนๆและคนรู้จัก ทำให้ GrabBike เป็นที่รู้จักมากขึ้น เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความไว้ใจและรักษามาตฐานของเราให้อยู่ในระดับสูงตลอดเวลา"
ในทุกๆที่ย่อมมีการแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตุได้จาก Startups ดังๆก็คือพวกเขาให้ความสำคัญกับ user experience เพราะถ้าขาดผู้ใช้บริการ บริษัทก็คงจะไปไม่รอด สำหรับ Startups ในไทยที่พยายามสร้างฝันของตัวเอง อย่าลืมสิ่งสำคัญที่สุดก็คือประโยชน์ที่ผู้ใช้งานจะได้รับ
ที่มา: e27
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด