Grab และ Gojek ได้ให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิจนเป็นศูนย์ ถือเป็น Startup ยูนิคอร์ของภูมิภาค ที่เดินหน้านโยบายด้านความยั่งยืน และนำแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มาปรับใช้ ก่อนติดนามสกุล มหาชน
เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา Grab ในสิงคโปร์ได้มีบริการใหม่โดยให้ผู้ใช้สามารถเรียกรถไฮบริดหรือรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาเดียวกันกับการเรียกรถปกติ อันเป็นหนึ่งในโครงการล่าสุดของบริษัทในการส่งเสริมระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จากรายงานฉบับแรกของ ESG เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัท Grab ของสิงคโปร์กล่าวว่า ทางบริษัทกำลังมีเป้าหมายในการที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ผ่านมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการนำยานพาหนะที่ใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนมาใช้ ตลอดจนโครงการปลูกป่า
โดยในรายงานดังกล่าวยังไม่ได้ระบุเป้าหมายที่ชัดเจนไว้ แต่ระบุว่า ภายในปีหน้าจะประกาศเป้าหมายที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ตามหลักวิทยาศาสตร์และแผนงานของบริษัท
Anthony Tan ซีอีโอของ Grab และ Tan Hooi Ling ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ระบุไว้ในรายงานโดยอ้างถึงแผนการที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาปลายปีนี้ว่า “เรากำลังเพิ่มความมุ่งมั่นในด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในระดับสูงตามรายงานความยั่งยืน”
ด้าน Gojek ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ GoTo กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีรายใหม่ ได้กลายเป็นหนึ่งใน Startup กลุ่มแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดเผยเป้าหมาย ESG อย่างชัดเจนในตอนที่ได้ประกาศแผนของบริษัทไปในปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
สิ่งสำคัญของแผนดังกล่าวคือ การให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิจนเป็นศูนย์ภายในปี 2030 โดยจะเปลี่ยนยานพาหนะทั้งหมดให้เป็นยานพาหนะไฟฟ้า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแนวคิด “ขยะเหลือศูนย์ (Zero Waste)” เริ่มจากจัดการการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ทั่วทั้งระบบนิเวศ ซึ่งคำมั่นดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับบริษัท Tokopedia ด้วยเช่นกัน โดยทั้งสองบริษัทจะควบรวมกิจการเพื่อก่อตั้งบริษัท GoTo ในเดือนพฤษภาคม
Andre Soelistyo ซีอีโอของ GoTo กล่าวว่า “ภาคเอกชนมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการและช่วยแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เพราะในขณะที่ Gojek เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีคนนับล้านที่ต้องใช้งานแพลตฟอร์มของเราทุกวัน เราก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ด้วย”
จากรายงานของ Grab และ GoTo ซึ่งครอบคลุมด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ด้านการเงิน เช่น การเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจขนาดเล็ก ประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยของบริการขนส่ง และความหลากหลายของพนักงาน แสดงให้เห็นว่า บริษัท Startup ด้านเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มเปิดรับแนวคิด ESG ที่กำลังแพร่หลายและมีความสำคัญต่อสังคมมากขึ้น
แนวคิด ESG ซึ่งมักจะใช้เป็นตัวชี้วัดในการวัดความเสี่ยงของบริษัท นอกเหนือจากด้านการบัญชีหรือการเงินนั้น มีมาตั้งแต่ปี 2000 และได้รับความสนใจมากขึ้นตลอดช่วงวิกฤตโควิด-19 เนื่องจากผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของธุรกิจในช่วงฟื้นตัวหลังโรคระบาดมากขึ้น
ขณะนี้ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ซึ่งเศรษฐกิจกำลังพัฒนา บริษัท Startup หลายรายก็ได้นำแนวคิดบางส่วนของ ESG มาใช้ในธุรกิจของตนเองบ้างแล้ว เช่น บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยรวมบริการทางการเงินเข้าไว้ด้วยกัน เป็นต้น
Susli Lie ผู้ร่วมลงทุนของบริษัท Monk's Hill Ventures ในสิงคโปร์ กล่าวว่า “แนวคิด ESG ถูกนำมาใช้ในกระบวนการลงทุนของเรา และจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการพอร์ตโฟลิโอ เราได้เริ่มระบุความเสี่ยงและโอกาสของ ESG ในเชิงรุกระหว่างขั้นตอนการลงทุน และจะมีการดำเนินการอยู่เรื่อย ๆ ตลอดอายุการลงทุนด้วย”
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคอย่างหนึ่งสำหรับ Startup รุ่นใหม่ที่ต้องการใช้แนวคิด ESG ในการดำเนินธุรกิจของตน คืออาจต้องใช้เงินลงทุนสูง ทว่า Justin Tang จากบริษัท United First Partners ก็ได้ชี้ให้เห็นว่า บริษัทต่าง ๆ สามารถเริ่มใช้แนวคิด ESG กับธุรกิจของตนได้ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็กหรือใหญ่ เขากล่าวว่า “แม้จะเป็นอุปสรรคในคราแรก แต่หลังจากนั้นไม่นาน การนำหลักการ ESG ไปปฏิบัติจะช่วยนำพาธุรกิจของเราไปสู่การเติบโตขึ้นได้อย่างแน่นอน”
อ้างอิง: Asia.nikkei
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด