Class Cafe กับบทเรียนฝ่าวิกฤตด้วย Data | Techsauce

Class Cafe กับบทเรียนฝ่าวิกฤตด้วย Data

จากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทั่วโลก ทำให้ชีวิตของผู้คนนั้นเปลี่ยนไปในทิศทางที่พวกเราหลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยคาดถึงมาก่อน ผู้คนนั้นหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านและหันไปใช้ชีวิตในโลกออนไลน์มากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าหากพฤติกรรมของผู้คนนั้นเปลี่ยนไป ถ้าร้านค้าต่าง ๆ ไม่ปรับตัวตามก็อาจจะไม่รอดในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ หลาย ๆ คนอาจจะเกิดคำถามว่า ‘แล้วจะต้องปรับตัวอย่างไร?’ ให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้

เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกับตัวอย่างความสำเร็จกับร้านกาแฟ / Co-Working Space ชื่อดังอย่าง Class Cafe ที่มีหลากหลายสาขาในมหาลัยต่าง ๆ เช่น จุฬาฯ ธรรมศาตร์ และศิลปากร ซึ่งทางร้าน Class Cafe ก็ได้เผชิญกับวิกฤตในครั้งนี้เช่นกัน จากเมื่อก่อนที่ลูกค้าจะมาที่ร้านและซื้อกาแฟหรือนั่งทำงาน แต่ด้วยสถานการณ์ในเดือนที่ผ่านมาทำให้ลูกค้าไม่สามารถมานั่งที่ร้านได้เหมือนเดิมเช่นเดียวกันกับร้านอื่น ๆ อย่างไรก็ตามแต่ ร้าน Class Cafe สามารถที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วและสามารถตอบรับพฤติกรรมใหม่ ๆ ของลูกค้าได้ทันท่วงที และมีออเดอร์กว่า 1,000 ออเดอร์ต่อวัน มาดูกันว่าร้าน Class Cafe นั้นมีกลยุทธ์หรือวิธีอะไรที่ทำให้สามารถปรับตัวและสร้างออเดอร์จำนวนมากขนาดนี้ได้อย่างไร

เข้าใจลูกค้าลึกขึ้นด้วย Data

จากจำนวนลูกค้าที่ลดน้อยลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทาง Class Cafe ได้มองเห็นว่าจริง ๆ แล้วลูกค้านั้นยังอยู่กับทางร้าน แต่แค่ปรับเปลี่ยนไปอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น ทางร้านจึงต้องมีช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น LINE, Facebook หรือ Instagram เพื่อที่จะยังสามารถสื่อสารและรับออเดอร์ของลูกค้าได้อยู่เช่นเดิม แต่เมื่อ Class Cafe นั้นอยากที่จะเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น ใส่ใจลูกค้าได้ลึกขึ้น และคาดเดาลูกค้าได้ถูกต้องมากขึ้น ทำให้การใช้ ‘แอปพลิเคชันของตัวเอง’ นั้นจะตอบโจทย์มากกว่าการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ 

ถ้าเราสามารถที่จะพยากรณ์ Forecast ได้ว่าเราจะต้องคั่วกาแฟกี่กิโลที่เหมาะสมในการเสิร์ฟกาแฟของแต่ละวัน เราก็จะทำให้รสชาติของเราดีขึ้น

‘Data Analytics’ จึงเป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้ Class Cafe นั้นให้บริการได้ลึกขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างถูกจุด และยังทำให้ทางร้านสามารถที่จะออกโปรโมชันที่ถูกใจลูกค้าที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้อยู่ด้วยกัน

ความท้าทายของระบบกับ 1,000 ออเดอร์

ภายใต้สภาวะวิกฤตนั้น Traffic นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจากการที่ทางร้านนั้นทำ Flash Sale ทำให้จาก Traffic ที่ปกติแล้วอยู่ที่  300 ออเดอร์ต่อวัน เพิ่มสูงขึ้นมาเป็นกว่า 1,000-2,000 ออเดอร์ต่อ 10 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ Traffic นั้นจะไปกระจุกตัวอยู่ที่ชั่วโมงเหล่านี้ ดังนั้นเรื่องของระบบรองรับนั้นค่อนข้างสำคัญอย่างมาก ระบบจะต้องสามารถรองรับและโต้ตอบได้ทันที รวมถึงระบบชำระเงิน ระบบธนาคาร และระบบความปลอดภัยจะต้องทำงานพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่าทางร้านจะผลิตกว่า 1,000 ออเดอร์ให้ทันได้อย่างไรภายในระยะเวลาสั้น ๆ ? แต่ด้วย Data ที่ทำให้สามารถคำนวนและคาดเดาได้ ทำให้ Class Cafe นั้นสามารถที่จะทำตามออเดอร์ได้ทันเวลา ดังนั้นเมื่อระบบนั้นมีความสำคัญในการที่จะทำให้ทุกออเดอร์และทุกการทำงานของระบบนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อที่จะให้บริการลูกค้าได้ดีที่สุด ทางร้าน Class Cafe นั้นจึงเลือกใช้ระบบจาก Microsoft ที่ให้ความมั่นใจและเป็นอันดับ 1 ในเรื่องนี้มาโดยตลอด

Class Cafe กับการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้

แน่นอนว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้นั้นมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะ SME อย่าง Class Cafe แล้ว โดยปกติแล้วเรื่องของ Cost กับ Technology นั้นจะสวนทางกัน แต่ด้วยระบบ Microsoft Azure ที่ทางร้านนั้นใช้นั้นสามารถที่จะทำเรื่องของ Cost Optimisation ได้ ทำให้ทางร้านนั้นสามารถที่จะจัดการในเรื่องของต้นทุนหรือรายจ่ายได้ตามช่วงเวลา เช่น หากในช่วงที่มีธุรกรรมไม่เยอะ ทางร้านสามารถที่จะลดขนาดของระบบลงได้ แต่เมื่อมีความต้องการใช้งานเพิ่มขึ้น ระบบก็สามารถที่จะขยายขึ้นไปตามความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายแปรผันตามขนาดและการใช้งานจริง

นอกเหนือจากนั้น ทางร้านนั้นยังต้องคำนึงถึงระบบที่จะมารองรับในช่วง Flash Sale ที่มีออเดอร์ถึง 1,000 ออเดอร์ต่อวัน ซึ่งจะต้องเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถที่จะขยายความสามารถในการรับรองออกไปได้ง่าย ซึ่งตัว Microsoft Azure ก็ค่อนข้างตอบโจทย์อย่างมาก ที่เมื่อฝ่ายเทคนิคนั้นทำการ Scale out ระบบออกไป ผู้ใช้บริการยังคงใช้แอปพลิเคชันได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว ปราศจากความหน่วงในการใช้งาน 

จากวิกฤตที่ทำให้ Class Cafe นั้นเจอกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทางร้านในเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันเข้ามาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการนำข้อมูลลูกค้ามาพัฒนาการบริการของทางร้านให้ตอบโจทย์มากขึ้นด้วยระบบที่ทางร้านสามารถจะคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้ลึกขึ้นและแม่นยำมากขึ้น และการที่ทาง Class Cafe นั้นนำเทคโนโลยีนั้นเข้ามาใช้นั้นมันไม่ได้เข้ามาช่วยทางร้านในช่วงเวลาปัจจุบันเท่านั้น แต่รวมถึงอนาคตของทางร้านด้วยเช่นกัน เทคโนโลยีทำให้ทางร้านนั้นรู้ว่าควรจะพัฒนาไปในทิศทางไหนจากการจัดเก็บ Data และนำมาวิเคราะห์ ทำให้รู้จักกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และทำให้สามารถที่จะพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีกว่าเดิมในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

ดังนั้น Class Cafe ก็เป็นตัวอย่างความสำเร็จของร้านกาแฟ / Co-Working Space ที่สามารถที่จะปรับตัวไปกับการเปลี่ยนไปของโลกที่ไม่มีความแน่นอน รวมถึงพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้และนำร้านของตัวเองเข้าสู่โลกออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจนทำให้เกิด 1,000 ออเดอร์อย่างเช่นทุกวันนี้ 

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไมโครซอฟท์และ Microsoft Azure ได้ที่ https://www.microsoft.com/th-th/smb/hotel-restaurant หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท VST ECS ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของไมโครซอฟท์ได้ที่ 02-032-9999 หรือ [email protected] 

บทความนี้เป็น Advertorial


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สภาดิจิทัลฯ ผนึกกำลังรัฐบาล ตั้งเป้าดันไทยสู่ Digital Hub แห่งอาเซียนภายใน 3 ปี

ในขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเร่งพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัล ประเทศไทยก็ไม่ยอมนิ่งนอนใจ ล่าสุดสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (สภาดิจิทัลฯ) นำโดย ...

Responsive image

OpenAI ท้าชน Google เปิดตัว ChatGPT Search พลัง AI ใช้ง่าย แม่นยำ ทันสมัย พร้อมใช้งานวันนี้

OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ค้นหา ChatGPT Search ท้าชน Google ในตลาด Search Engine ด้วยความสามารถที่ใช้งานง่าย รวดเร็ว แม่นยำและให้ข้อมูลที่ทันสมัย พร้อมให้ใช้งานจริงได้แล้ววันนี้!...

Responsive image

ทำไมสิงคโปร์ ถึงกลายเป็นที่ลงทุนด้าน Deep Tech จากทั่วโลก ?

แม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่การลงทุนเกิดการชะลอตัว แต่ไม่ใช่สำหรับ ‘สิงคโปร์’ ที่กำลังผงาดขึ้นอย่างเงียบๆ ในฐานะศูนย์กลางเทคโนโลยีระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน “Deep Tech” ซึ่งเป็...