คุณสวัสดิ์ อัศดารณ MD คนใหม่ IBM ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ มุ่งสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน บนพื้นฐาน AI & Hybrid Cloud | Techsauce

คุณสวัสดิ์ อัศดารณ MD คนใหม่ IBM ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ มุ่งสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน บนพื้นฐาน AI & Hybrid Cloud

คุณสวัสดิ์ อัศดารณ ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย และ Managing Partner กลุ่มธุรกิจไอบีเอ็ม คอนซัลติง คนใหม่ ได้แถลงวิสัยทัศน์เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนบนพื้นฐาน AI & Hybrid Cloud ภายใต้เป้าหมายการขับเคลื่อน IBM ประเทศไทย และการสนับสนุนองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคการศึกษาของไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ The New Era of Sustainable Business Underpinned by AI & Hybrid Cloud 

คุณสวัสดิ์ อัศดารณ MD คนใหม่ IBM ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ มุ่งสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน บนพื้นฐาน AI & Hybrid Cloud

ภายใต้การบริหารของ คุณสวัสดิ์ ต้องการมุ่งเน้นในด้านหลักๆ ดังนี้

1. การสร้างความร่วมมือและการเป็นพันธมิตรอย่างยั่งยืน (Sustainable Partnership) ซึ่งไม่เพียงการนำเทคโนโลยีเข้าสนับสนุนระบบและโครงการต่างๆ แต่ยังรวมถึงการเข้าไปมีร่วมช่วยลูกค้าและพันธมิตรวางโร้ดแม็ปเทคโนโลยีและธุรกิจ เพื่อพัฒนาระบบและเทคโนโลยีที่จะรองรับการเติบโตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพราะวันนี้ถือเป็นยุคของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบไอที และการเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่การสร้างแพลตฟอร์มการให้บริการลูกค้าจะมีความสำคัญอย่างมาก

เนื่องจากตลอดระยะเวลาการดำเนินการ 70 ปีในประเทศไทย สิ่งที่ไอบีเอ็มมุ่งมั่นตลอดมาคือการยึดความสำเร็จของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจเป็นเป้าหมายสำคัญ ดังตัวอย่างความร่วมมือและการนำเทคโนโลยีเข้าสนับสนุนระบบและโครงการต่างๆ ที่ผ่านมา อาทิ

  • การได้รับความไว้วางใจจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBank ในการนำเทคโนโลยีของไอบีเอ็มเข้าเป็นหนึ่งในระบบหลักที่รองรับระบบคอร์แบงค์กิ้งของธนาคาร และธุรกรรมหลายล้านรายการต่อวันมานานหลายทศวรรษ และล่าสุด ท่ามกลางการเติบโตของไลฟสไตล์ดิจิทัลและการทำธุรกรรมออนไลน์ ไอบีเอ็มยังได้มีส่วนช่วยให้ KBank สามารถต่อกรกับภัยคุกคามและตรวจจับการฉ้อโกงต่างๆ ได้เร็วและถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น โดย IBM Safer Payment ช่วยให้ KBank สามารถมอนิเตอร์การชำระเงินหลายพันรายการต่อวินาทีและป้องกันการทุจริตในการชำระเงินได้ในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเอทีเอ็ม เครื่อง POS หรือแม้แต่การทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซทางโทรศัพท์มือถือและช่องทางออนไลน์

  • การร่วมพัฒนาแพลตฟอร์ม Open API ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือกรุงศรี เชื่อมต่อคู่ค้าในอีโคซิสเต็มของธนาคารเข้ากับบริการดิจิทัลต่างๆ อาทิ การเติมเงินวอลเล็ต โอนเงิน ชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ รีวอร์ด สินเชื่อ ฯลฯ โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ พร้อมยกระดับประสบการณ์ลูกค้า รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายของธนาคารในการทำให้บริการธนาคารเป็นเรื่องง่าย และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลูกค้า โดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจระยะกลางปี 2564-2566 ของกรุงศรี ทั้งนี้ การมุ่งเน้นที่การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจด้านลูกค้าธุรกิจ ผ่านการสร้างอีโคซิสเต็มของธนาคารที่รองรับความต้องการของลูกค้าธุรกิจ จะผลักดันให้กรุงศรีเป็นสถาบันการเงินไทยที่เป็นที่หนึ่งในใจลูกค้า พร้อมเชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน

  • การร่วมกับเอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (เออาร์วี) พัฒนาแพลตฟอร์ม National Digital Corporate Identity (NCID) ซึ่งเป็นระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลระบบแรกในอาเซียน ซึ่งจะช่วยให้องค์กรและธนาคารไทยดำเนินกระบวนการ KYC ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น ทั้งนี้ จะมีการเริ่มใช้งานระบบ NCID จริงเป็นครั้งแรกในอาเซียน บน Joint Sandbox ที่ก่อตั้งขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และธนาคารแห่งประเทศไทย ในช่วงต้นปี 2565 นี้ โดยในฐานะผู้ที่มีส่วนสำคัญในการริเริ่มและสร้างแพลตฟอร์ม ปตท.สผ. จะร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และธนาคารคู่ค้ากว่า 13 แห่ง เพื่อนำร่องใช้งานแพลตฟอร์มนี้ผ่านทาง เออาร์วี ภายใต้เป้าหมายในการขยายการใช้งานไปสู่อีโคซิสเต็มธนาคารใน ASEAN และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป

ทั้งนี้ เป้าหมายต่อจากนี้ไปคือการเข้าไปมีร่วมช่วยลูกค้าและพันธมิตรวาง Roadmap เทคโนโลยีและธุรกิจ เพื่อพัฒนาระบบและเทคโนโลยีที่จะรองรับการเติบโตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในยุคของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบไอที และการเปลี่ยนผ่านสู่โมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่การสร้างแพลตฟอร์มการให้บริการลูกค้าจะทวีความสำคัญ 

คุณสวัสดิ์ อัศดารณ MD คนใหม่ IBM ประเทศไทย แถลงวิสัยทัศน์ มุ่งสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน บนพื้นฐาน AI & Hybrid Cloud

2. การนำเทคโนโลยีเข้าช่วยสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน (Technology for Sustainable Business)

การแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงดิสรัปชันที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อพฤติกรรมผู้บริโภค โมเดลการทำธุรกิจ ระบบซัพพลายเชน ฯลฯ ส่งผลให้องค์กรธุรกิจต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญด้านเทคโนโลยีที่จะขับเคลื่อนธุรกิจในยุคดิจิทัล คือเทคโนโลยีก้าวล้ำอย่างไฮบริดคลาวด์ และเอไอ

ปัจจุบันมีแอพพลิเคชันสำคัญเพียง 25% ที่ได้รัการจัดเก็บอยู่บนคลาวด์ ขณะที่ผลการศึกษาระดับโลกของไอบีเอ็ม เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงความต้องการขององค์กรธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่มีผู้บริหารไทยที่ตอบแบบสำรวจแม้แต่รายเดียว ที่ระบุว่ายังใช้คลาวด์จากเวนเดอร์รายเดียว หรือยังใช้พับบลิคคลาวด์เพียงอย่างเดียวอยู่ 

สิ่งนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของเทคโนโลยีไฮบริดคลาวด์ของไอบีเอ็ม ที่จะช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมโยงระบบและใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่อยู่ภายในองค์กร (on-premise) บนพับลิคคลาวด์ และไพรเวทคลาวด์ได้อย่างไร้รอยต่อ หรือ Develop Once and Deploy Anywhere เพื่อให้สามารถเดินหน้าพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนแอพพลิเคชันและระบบต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว รองรับพลวัตรโลกดิจิทัลและความต้องการของลูกค้าภายใต้บริบทของความเปลี่ยนแปลง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

นอกจากนี้ไอบีเอ็มยังมองว่าจุดต่างที่จะสร้างความสามารถในการแข่งขันให้แต่ละองค์กรได้ คือความสามารถในการไขรหัสมุมมองเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลมหาศาล และในปีนี้ ไอบีเอ็มจะมุ่งเน้นที่การนำเทคโนโลยีเอไอสำหรับธุรกิจ (AI for Business) ตั้งแต่อนาไลติกส์ ออโตเมชัน AIOps เทคโนโลยีการคาดการ์และแจ้งเตือนการซ่อมบำรุงระบบ เป็นต้น พร้อมด้วยเทคโนโลยีซิเคียวริตี้ระดับโลกจาก IBM Security เข้าสนับสนุนการดำเนินงาน การเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน การวางแผนคาดการณ์ ฯลฯ ขององค์กรไทยในทุกอุตสาหกรรมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้องค์กรก้าวข้ามความท้าทายในการใช้และเชื่อมโยงระบบเทคโนโลยีต่างๆ ภายใต้ปัจจัยผันผวนรอบด้านที่กระทบต่อธุรกิจ

ขณะเดียวกัน ไอบีเอ็ม นำโดยศูนย์วิจัยไอบีเอ็ม (IBM Research) ยังจะมุ่งมั่นเดินหน้าต่อเนื่องในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมเพื่อสร้างความยั่งยืนต่อไป

โดยตัวอย่างเทคโนโลยีล่าสุดที่ได้พัฒนาขึ้น อาทิ

  • ชิปขนาด 2 นาโนเมตร (nm) ตัวแรกของโลก ภายใต้ประสิทธิภาพที่คาดว่าจะสูงขึ้น 45% และใช้พลังงานน้อยลง 75% เมื่อเทียบกับชิปขนาด 7 นาโนเมตรในปัจจุบัน โดยจะนำสู่คุณประโยชน์หลักๆ อาทิ การช่วยเพิ่มอายุแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือสี่เท่า การลดปริมาณคาร์บอนฟุตปรินท์ลงอย่างก้าวกระโดด เป็นต้น

  • โร้ดแม็ปการพัฒนาควอนตัมคอมพิวติ้งอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาท้าทาย ซึ่งรวมถึงความซับซ้อนของปัญหาวิกฤตสภาพอากาศ ซึ่งเป็นปัญหาที่คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันไม่มีพลังประมวลผลมากพอที่จะทำการคำนวณผลลัพธ์ได้ โดยในปีที่ผ่านมา ไอบีเอ็มประสบความสำเร็จในการพัฒนาควอนตัมคอมพิวติ้งขนาด 127 คิวบิตเป็นครั้งแรกของโลก และปัจจุบันกำลังเดินหน้าสู่การพัฒนาควอนตัมคอมพิวติ้งขนาด 1,000 คิวบิต โดยตั้งเป้าหมายไว้ภายในปี 2566 นี้

  • การสร้างระบบเอไอที่เชื่อถือได้ โดยไอบีเอ็มได้กำหนด Principles for Trust and Transparency สำหรับการนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้ ประกอบด้วย

    1) วัตถุประสงค์ของการใช้เอไอคือการต่อยอดความสามารถในการเรียนรู้และการใช้ทักษะความรู้ของมนุษย์

    2) ข้อมูลและมุมมองเชิงลึกที่ได้รับการวิเคราะห์จากข้อมูลนั้นๆ ต้องเป็นของผู้สร้างข้อมูลนั้นๆ

    3) เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเอไอต้องโปร่งใส อธิบายที่มาของการตัดสินใจของระบบได้ และต้องมีการบรรเทาผลเสียอันอาจเกิดขึ้นจากอคติที่รุนแรงและไม่เหมาะสม

ที่ผ่านมา นักวิจัยไอบีเอ็มได้พัฒนาแนวทางและเครื่องมือในการต่อกรกับปัญหาความน่าเชื่อถือของเอไอ ตัวอย่างเช่น AI Factsheets ที่จะทำหน้าที่เหมือนฉลากโภชนาการบนบรรจุภัณฑ์อาหาร หรือ AI Explainability 360 และ AI Fairness 360 ที่จะช่วยตรวจสอบว่าโมเดลเอไอดำเนินการตัดสินใจภายใต้หลักจริยธรรม โดยปราศจากการแทรกแซงจากมนุษย์หรือไม่ เป็นต้น

สิ่งที่ คุณสวัสดิ์ อยากผลักดันให้เกิดขึ้นในอนาคต คือ การพัฒนาคนเพื่อรองรับการพัฒนาธุรกิจและประเทศอย่างยั่งยืน (Talent for Sustainable Growth)

โดยจะเร่งสร้างทรัพยากรบุคคลด้าน IT & Digital รองรับการ Transformation ซึ่งในปี 2565 นี้ ไอบีเอ็ม ประเทศไทย ได้มีการวางแผนที่จะร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเร่งสร้างและผลิตทรัพยากรบุคคลด้าน IT และ Digital เพื่อรองรับการเติบโตก้าวกระโดดของดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังจะมีการช่วยสนับสนุนการสร้างทักษะที่จำเป็นแก่มหาวิทยาลัยต่างๆ ผ่าน 2 แนวทางหลัก คือ

1.การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ภายใต้โครงการ Academic Initiative โดยการมอบหลักสูตรการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยี อาทิ AI, Machine Learning, การใช้งานระบบเมนเฟรม เป็นต้น ให้แก่มหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมการ Train the Trainer และการส่งผู้เชี่ยวชาญของไอบีเอ็มเป็นวิทยากรให้ความรู้ในโอกาสต่างๆ 

 2.การเดินหน้าโครงการ P-TECH อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเรียนรู้และพัฒนาทักษะเชิงบูรณาการ ผ่านการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง เพื่อให้ตรงกับความต้องการของภาคธุรกิจ ภายใต้หลักสูตร 5 ปี โดยที่ผ่านมาได้มีความร่วมมือระหว่างไอบีเอ็ม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และพันธมิตรภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วยบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

NVIDIA เปิดตัว Jetson Orin Nano Super Developer Kit ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI จิ๋ว เตรียมใช้ในหุ่นยนต์ AI

NVIDIA กำลังก้าวไปในสู่โลกของหุ่นยนต์อย่างเต็ม หลังเมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวของสำคัญหลายอย่างทั้ง Blackwell ชิปกราฟิกประสิทธิภาพสูงสำหรับประมวลผล AI โดยเฉพาะ ไปจนถึง Pro...

Responsive image

Openspace กองทุนแห่ง SEA ตั้งเป้า 2 ปี ลงทุนสตาร์ทอัพไทยไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

โอเพ่นสเปซ (Openspace) กองทุนที่ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ SEA ประกาศแผนลงทุนในสตาร์ทอัพไทย ส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ในช่วงปี พ.ศ. 2568 - 2569...

Responsive image

ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นจับมือ! Honda-Nissan เตรียมควบรวมกิจการ

รายงานระบุว่า ทั้งสองบริษัทกำลังพิจารณารวมตัวกันภายใต้บริษัทโฮลดิ้ง ซึ่งคาดว่าจะมีการลงนามข้อตกลงในเร็วๆ นี้ โดยมีแผนจะดึงมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่นิสสันถือหุ้น 24% เข้ามาร่วมด้วย เพื...