Meta บรรลุข้อตกลงเข้าซื้อกิจการ Manus สตาร์ทอัพ AI Agent จากสิงคโปร์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในซิลิคอนวัลเลย์ปีนี้ โดยแหล่งข่าวหลายสำนักประเมินว่าดีลมีมูลค่าราว 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นอีกหนึ่งดีลขนาดใหญ่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการ AI โลกส่งท้ายปี
Manus เปิดตัวเดโม AI Agent เมื่อต้นปี 2025 โดยโชว์ความสามารถในการทำงานซับซ้อนได้แบบครบวงจร ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การวางแผน ไปจนถึงการลงมือทำจริง สามารถจัดการงานระดับสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่งานวิจัยเชิงลึก การวิเคราะห์พอร์ตการลงทุน ไปจนถึงการสร้างเว็บไซต์แบบอัตโนมัติ ดีลนี้จึงถูกมองว่าเป็นการสยบคำครหาที่ว่า Meta เผาเงินกับ AI ไปวัน ๆ และสะท้อนการขยับจากการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงทดลอง ไปสู่การครอบครองผลิตภัณฑ์ AI ที่พร้อมใช้งานจริงในโลกธุรกิจ

Manus แจ้งเกิดในเดือนมีนาคม 2025 จากวิดีโอเดโมที่กลายเป็นไวรัลบน X และในซิลิคอนวัลเลย์ ด้วยการสาธิตความสามารถของ General AI Agent ที่ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน Agent อัตโนมัติที่ก้าวหน้าที่สุดในเวลานั้น ตัว AI สามารถตัดสินใจและลงมือทำงานซับซ้อนให้เสร็จสิ้นได้ด้วยตัวเองแบบครบกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนท่องเที่ยวแบบละเอียด การตรวจสอบเรซูเม่นับร้อยใบจากไฟล์ ZIP หรือแม้แต่การสร้างเว็บไซต์ทั้งระบบจากคำสั่งเพียงประโยคเดียว
ภาพที่เราเห็นคือจาก Manus คือ AI Agent ตัวเดียวที่สามารถจัดการงานหลายขั้นตอนต่อเนื่องได้โดยแทบไม่ต้องควบคุมด้วยมนุษย์ แตกต่างจากแชตบอททั่วไปที่ยังต้องพึ่งคำสั่งเป็นรอบ ๆ โดย Manus เคลมว่าเอเจนต์ของตนมีประสิทธิภาพเหนือกว่า OpenAI Deep Research ในงานวิจัยเชิงลึก และสามารถนำไปใช้งานในบริบทองค์กรได้ทันที
อีกหนึ่งจุดเด่นสำคัญของ Manus คือการใช้พลังประมวลผลและต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังให้ประสิทธิภาพสูง จนถูกขนานนามในแวดวงว่าเป็น ‘Next DeepSeek’ แห่งเอเชีย
กระแสความสนใจที่ถาโถมเข้ามาทำให้เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังเปิดตัว Benchmark ซึ่งเป็น Venture Capital ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ได้เข้ามานำรอบระดมทุนมูลค่า 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับ Manus และดันมูลค่าบริษัทเป็น 500 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านั้น Manus ยังได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนรายใหญ่อื่น ๆ แล้ว อาทิ Tencent, ZhenFund และ HSG (อดีต Sequoia China) ในรอบก่อนหน้า
สำหรับ Mark Zuckerberg ดีลนี้หมายถึงการซื้อ AI ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างรายได้จริง โดยภายในเวลาเพียง 8 เดือนหลังเปิดตัว Manus สามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องรายปี (ARR) ทะลุ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากผู้ใช้งานที่ยอมจ่ายค่าสมัครสมาชิกเดือนละ 39–199 ดอลลาร์ (ราว 1,300–6,800 บาท) ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งมากสำหรับซอฟต์แวร์ที่ยังอยู่ในช่วงทดสอบตลาด
ดีลนี้จึงถูกมองว่าเป็นการสยบเสียงวิจารณ์ที่ว่า Meta กำลัง “เผาเงินกับ AI ไปวัน ๆ” โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามกับการทุ่มงบโครงสร้างพื้นฐาน AI ของ Meta ที่สูงกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนหน้านี้ Meta เพิ่งเข้าถือหุ้น 49% ใน Scale AI และดึง Alexandr Wang มานั่งตำแหน่ง Chief AI Officer สะท้อนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนว่า Meta ต้องการสร้าง AI Ecosystem แบบครบวงจร ตั้งแต่ข้อมูล โครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ปลายทางที่สร้างรายได้จริง Manus จึงเข้ามาเติมช่องว่างสำคัญในพอร์ตของ Meta ในฐานะ AI Agent ที่มีลูกค้า มีรายได้ และมี Use Case ระดับองค์กรแล้ว
รายงานระบุว่า Meta ใช้เวลาเจรจาดีลนี้เพียง 10 กว่าวัน ก่อนปิดข้อตกลงได้สำเร็จ สะท้อนว่า Mark Zuckerberg ต้องการคว้า Manus มาให้ได้ก่อนที่คู่แข่งอย่าง Google หรือ Microsoft จะตัดหน้าไป
Meta มีแผนดำเนินงาน Manus ในฐานะแบรนด์อิสระควบคู่ไปกับธุรกิจเดิม โดย Xiao Hong ซีอีโอของ Manus จะรายงานตรงต่อ Javier Olivan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Meta ขณะเดียวกัน Meta จะนำเทคโนโลยี AI Agent นี้ไปบูรณาการเข้ากับแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้นับพันล้านอย่าง Facebook, Instagram และ WhatsApp เพื่อขยายการใช้งานทั้งฝั่งผู้บริโภคและธุรกิจ
เป้าหมายคือการเปลี่ยนโฉมประสบการณ์การบริการลูกค้าและการทำงานในชีวิตประจำวัน เช่น การสั่งให้ AI จองตั๋วเครื่องบิน สรุปข้อมูลตลาดหุ้นรายวันส่งตรงถึงแชต หรือจัดการงานหลังบ้านอัตโนมัติ ยกระดับ Meta AI จากผู้ช่วยตอบคำถาม ไปสู่ ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ลงมือทำงานแทนมนุษย์ได้จริง และส่งสัญญาณชัดว่า Meta ตั้งเป้าจะไม่เป็นแค่แอปโซเชียลอีกต่อไป แต่จะก้าวสู่การเป็น ‘AI Work Platform’ ในอนาคต
ดีลนี้มีความซับซ้อนทางการเมืองสูง เนื่องจาก Manus มีรากฐานจากจีน ภายใต้บริษัทแม่ชื่อ Butterfly Effect ในกรุงปักกิ่งและอู่ฮั่น ก่อนจะย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังสิงคโปร์ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ–จีน
แม้จะย้ายฐานแล้ว แต่ภูมิหลังดังกล่าว รวมถึงความสัมพันธ์เดิมกับนักลงทุนรายใหญ่อย่าง Tencent, ZhenFund และ HSG (Sequoia China) ทำให้ดีลนี้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดในสหรัฐ โดยเฉพาะในช่วงที่การแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างสองมหาอำนาจทวีความตึงเครียด
โดยสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ นำโดยวุฒิสมาชิก John Cornyn เคยออกมาตั้งคำถามต่อ Benchmark ที่เข้าไปนำการระดมทุนในบริษัท Manus ว่า "การที่นักลงทุนอเมริกันไปหนุนหลังบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับจีน แล้วปล่อยให้เทคโนโลยีนั้นย้อนกลับมาท้าทายสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่ฉลาดแล้วหรือ?"
เพื่อคลายความกังวล Meta ให้คำมั่นผ่าน Nikkei Asia ว่า หลังการซื้อกิจการเสร็จสิ้น Manus จะไม่มีความเกี่ยวข้องหรือผลประโยชน์ใด ๆ กับนักลงทุนจีนอีกต่อไป และจะยุติการให้บริการรวมถึงการดำเนินงานทั้งหมดในประเทศจีนทันที
การที่ Meta ยอมจ่ายหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ Manus คือการเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อแย่งชิงความได้เปรียบในสมรภูมิ AI Agent กับคู่แข่งอย่าง Microsoft Copilot และ OpenAI และเป็นสัญญาณชัดว่า AI ยุคถัดไปจะตัดสินกันที่ ใครมี AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้ ขยายสเกลได้ และสร้างรายได้จริง
อ้างอิง: Reuters, The Wall Street Journal, TechCrunch
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด