หมอชนะ แอปติดตามโดยไม่ต้องเช็กอิน รักษา Data Privacy แจ้งเตือนความเสี่ยงได้ทันเวลา | Techsauce

หมอชนะ แอปติดตามโดยไม่ต้องเช็กอิน รักษา Data Privacy แจ้งเตือนความเสี่ยงได้ทันเวลา

หลังจากเกิดเหตุการณ์ผู้ติดเชื้อที่ระยอง เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้เห็นการทำงานของแอป ‘หมอชนะ’ ที่มีการแจ้งเตือนไปยังกลุ่มเสี่ยงที่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชั่นไว้บนโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยงนั้นรู้ตัว ป้องกันตัวเอง และสามารถที่จะไปตรวจได้ทันที ซึ่งแน่นอนว่าภายใต้การแพร่ระบาดของไวรัสที่สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้อย่างง่ายดายนั้น ‘ความเร็ว’ ในการแจ้งเตือนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากในการป้องกันไม่ให้การแพร่ระบาดขยายไปในวงกว้าง Techsauce จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับกลุ่มนักพัฒนาแอปพลิเคชั่นหมอชนะ และจะพาทุกคนนั้นไปรู้จักกับแอปพลิเคชั่นแจ้งเตือนความเสี่ยงแบบ Real-time ว่ามีจุดเริ่มต้นได้อย่างไร ระบบมีกลไกการทำงานอย่างไรบ้าง และไขข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยต่าง ๆ ที่หลายคนอาจมีความกังวล

จุดเริ่มต้นของ ‘หมอชนะ’

ในเดือนกุมภาพันธ์ เราได้เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มแตะหลักร้อยต่อวัน ซึ่งในตอนนั้นก็มีหลายกลุ่มพยายามที่จะหาโซลูชั่นต่างๆ เราจึงได้ไปชักชวนกลุ่มอาสาสมัครอื่นๆ มาร่วมพัฒนาแอปพลิเคชั่นหมอชนะด้วยกัน ซึ่งก็ได้ความร่วมมือจากกลุ่มอิสระ อย่าง Code for Public และ Blockfint รวมถึงการร่วมมือจากภาครัฐ อย่าง สำนักเงินส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (Depa), สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) และสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (EGA) นอกจากนี้ยังมีอีกกลุ่มใหญ่ที่สำคัญคือกลุ่มของภาคเอกชนที่รวมกลุ่มกันหรือที่เรียกกันว่า กลุ่มช่วยกัน ซึ่งก็มีหลากหลาบริษัทเข้าร่วม เช่น EA หรือมหาลัยต่างๆ อย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาลัยธรรมศาตร์ เป็นต้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นการร่วมมือระหว่างทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เร่งพัฒนาแอปหมอชนะขึ้นมาให้ประชาชนใช้ในเวลาไม่ถึงอาทิตย์

ออกแบบโซลูชั่นอย่างไรให้ตอบรับกับการแพร่ระบาดแบบ Exponential Growth?

เนื่องจากตัว COVID-19 นั้นมีระยะเวลาเพาะเชื้อ 14 วัน ซึ่งภายในระยะเวลา 14 วันนี้ หากผู้ติดเชื้อนั้นออกไปข้างนอก ก็จะแพร่กระจายไวรัสไปสู่ผู้อื่นต่อไปเป็นทอดๆ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็กินเวลาไปประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อนั้นเพิ่มขึ้นแบบ Exponential Growth

ทำให้เป้าหมายของหมอชนะก็คือการสร้างระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดภายใต้ระยะการฝักตัวของเชื้อ COVID-19 ที่มีเวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นหมอชนะจึงได้นำเทคโนโลยีหลายๆ ตัวเข้ามาใช้ร่วมด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น GPS, Bluetooth และ QR Code Scanning เนื่องจากอุปกรณ์สื่อสารนั้นมีค่อนข้างหลากหลายรูปแบบและมีความแตกต่างกัน ดังนั้นแอปหมอชนะจึงต้องใช้ข้อมูลหลาย ๆ อย่างมาประมวลผลเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะทำให้ขนาดของกลุ่มเสี่ยงนั้นมีขอบเขตจำกัด 

หากเรากำหนดกลุ่มเสี่ยงโดยใช้สถานที่อย่างเดียว กลุ่มเสี่ยงที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก อย่างเช่น หากถ้าผู้ติดเชื้อไปห้างๆ หนึ่ง แล้วเรากำหนดให้กลุ่มเสี่ยงนั้นเป็นคนที่ไปห้างนั้นทั้งหมด ซึ่งภายใน 14 วัน ผู้ที่มีความเสี่ยงเหล่านี้ก็ได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ มากมาย ทำให้ความเสี่ยงนั้นกระจายออกไปเรื่อยๆ เป็นวงกว้าง ทำให้คนจำนวนมากนั้นต้องกักตัว ดังนั้นสิ่งที่หมอชนะนั้นได้ทำคือการทำให้กลุ่มเสี่ยงนั้นเล็กที่สุด เพื่อให้คนในสังคมนั้นยังสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ เพราะในตอนนี้ผู้คนนั้นไม่ได้พบกับปัญหาจาก COVID-19 อย่างเดียว แต่ยังเป็นเรื่องของปัญหาทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ 

ปฎิเสธไม่ได้ว่าการล็อกดาวน์นั้นส่งผลต่อชีวิตของผู้คนอย่างมาก การระบุกลุ่มเสี่ยงจากพื้นที่นั้นอาจจะทำให้คนจำนวนพันถึงหมื่นนั้นต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง แต่ถ้าเรามีเทคโนโลยีที่ดี ผสมผสานการใช้งานจาก GPS, Bluetooth และอื่นๆ รวมกัน จะทำให้จำนวนคนที่ต้องล็อกดาวน์เหลือแค่หลักสิบ

   ระบบยิ่งดีเท่าไหร่ จะต้องล็อกดาวน์จำนวนคนน้อยที่สุด

การป้องกันที่ดีจะต้องลดความเสี่ยงในการติดตั้งแต่แรก ทำให้ในระบบของหมอชนะนั้นมี QR ของแต่ละบุคคลที่แสดงสีความเสี่ยง เพื่อให้สถานที่ต่างๆ นั้นสามารถดูได้ว่าบุคคลใดมีความเสี่ยงสูง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดภายในพื้นที่ 

เทคโนโลยีแบบ Real-time แจ้งเตือนได้ทันเวลา

โจทย์หลักของหมอชนะคือการทำโซลูชั่นที่จะป้องกันคน 70 ล้านคน ดังนั้น Software Architecture ที่ได้พัฒนาขึ้นมานั้นจะสามารถรองรับคนจำนวนมากได้ ซึ่งในขณะนี้แอปหมอชนะนั้นก็มีผู้ใช้ที่ Active อยู่จำนวนประมาณ 4 แสนคน ทำให้หมอชนะนั้นเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดในการทำ Track และ Tracing ได้แบบ Real-time

หากมีการติดเชื้อจำนวนมาก แน่นอนว่ากำลังคนในการติดต่อผ่านการโทรไปหาผู้มีกลุ่มเสี่ยงนั้นคงไม่เพียงพอ ดังนั้น หมอชนะจึงได้พัฒนาตัว Algorithm และ Automation ทำให้ระบบนั้นสามารถจะเตือนความเสี่ยงแบบ Real-time ได้ในตัวของมันเอง ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรู้ความเสี่ยงของตัวเอง ได้ทันที โดยไม่ต้องไปย้อนดูว่าได้เดินทางไปที่ไหนมาบ้างหรือใกล้ชิดกับใครมาบ้าง เพราะการแพร่ระบาดในครั้งนี้เป็นการแพร่ระบาดของเชื้อที่ติดได้อย่างรวดเร็วและง่ายต่อการติดเชื้อ หากเรารู้เร็วก็สามารถที่จะป้องกันไม่ให้การระบาดนี้แพร่ขยายไปในวงกว้าง

หมอชนะ-ไทยชนะ แตกต่างกันอย่างไร?

หมอชนะนั้นถูกออกแบบมาเพื่อเน้นการติดตามแบบเป็นรายบุคคลเป็นหลัก ทำให้การทำงานของหมอชนะนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ฟีเจอร์หลัก ๆ คือ

  1. Geolocation หรือ GPS: ระบบนั้นสามารถที่จะติดตามพิกัดของผู้ใช้
  2. Bluetooth: หากผู้ใช้นั้นเปิดตัว Bluetooth ก็จะทำให้เกิดความแม่นยำมากขึ้นว่าผู้ใช้นั้นเข้าใกล้กับผู้ใดบ้าง
  3. QR Code: ผู้ใช้สามารถที่จะสแกนทั้ง QR Code ของผู้ใช้คนอื่นและของสถานที่ที่มี QR Code ของหมอชนะและไทยชนะ โดยผู้ที่ไม่มีโทรศัพท์หรือไม่มีเทคโนโลยีเหล่านี้ก็สามารถที่จะทำ QR Code ของตัวเองขึ้นมาและปริ้นท์ออกมาเพื่อให้ผู้อื่นสามารถสแกนได้เช่นกัน

เมื่อผู้ใช้นั้นเดินทางไปสถานที่ต่างๆ และ 3 วันหลังจากนั้นได้ตรวจพบเชื้อ ทางหมอชนะนั้นก็จะมาร์กเส้นทางที่ผู้ใช้นั้นเดินทางไปและทำการแจ้งเตือนให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงนั้นได้รู้ พร้อมส่งแบบประเมินอาการให้ทำ 

ดังนั้น หมอชนะจึงเป็นแอปพลิเคชั่นที่ครบวงจรทั้งผู้ใช้และร้านค้าต่างๆ แก้ปัญหาการเช็กอินเช็กเอาท์ ถึงแม้ว่าผู้ใช้นั้นจะไม่ได้เช็กอินเข้าสถานที่ต่างๆ แต่ทางระบบนั้นก็สามารถที่จะติดตามได้เมื่อพบผู้ติดเชื้อ และสำหรับฝั่งของร้านค้า ร้านค้าสามารถที่จะขอดูความเสี่ยงของผู้ใช้ผ่านทาง QR Code ได้ เพื่อที่จะป้องกันผู้ที่มีความเสี่ยงจากการเข้าใช้สถานที่ต่าง ๆ

แต่สำหรับไทยชนะ ที่เน้นการติดตามในแบบสถานที่ นับจำนวนคนเข้าออก และต้องการความร่วมมือของประชาชนในการสแกน QR Code ซึ่งจะมีระบบการติดตามที่ต่างกันไป สำหรับหมอชนะนั้น ระบบจะแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติ แต่ไทยชนะจะต้องมีการตรวจสอบรายชื่อคนที่มีการเช็กอินสถานที่นั้น ๆ และติดต่อไปอีกที

แต่ความท้าทายในตอนนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีของหมอชนะนั้นดีเท่าใด แต่ถ้าจำนวนผู้ใช้นั้นมีไม่เยอะ ก็จะทำให้ระบบนั้นไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ในตอนนี้หมอชนะนั้นมีผู้ใช้งานอยู่จำนวน 400,000 คนเทียบกับจำนวนประชากรไทยทั้งหมด 70 ล้านคน ซึ่งยังเป็นตัวเลขที่น้อย ซึ่งถ้าทางหมอชนะนั้นมีโอกาสนำโปรแกรมไปร่วมมือกับทางไทยชนะที่มีการใช้งานที่แพร่หลายมากกว่า และนำข้อมูลมาประมวลผลร่วมกัน ก็เชื่อว่าจะทำให้การป้องกันและการติดตามนั้นจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่านี้หลายเท่า ซึ่งประชาชนก็สามารถช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดครั้งนี้ได้โดยการโหลดและติดตั้งแอปนี้ไว้บนโทรศัพท์ของทุกคน

ไม่จัดเก็บข้อมูลรักษา Data Privacy พร้อมตรวจสอบด้วย Open Source

สำหรับหมอชนะแล้วเป็นโปรแกรมที่รักษา Data Privacy ของผู้ใช้มาก โดยจะไม่มีการจัดเก็บข้อมูลใด ๆ ของผู้ใช้เลย ซึ่งทางระบบนั้นจะเห็นตัวผู้ใช้บนโปรแกรมเป็นรูปแบบจุดๆ เท่านั้น นอกจากนี้ทางหมอชนะยังใช้ซอฟต์แวร์แบบ Open Source ซึ่งเปิดให้ใครก็ได้สามารถตรวจสอบความโปร่งใสได้ว่าทางแอปนั้นไม่ได้ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ หรือนำข้อมูลไปใช้ในทางมิชอบ

แอปใหม่ ติดตามการเข้าสถานที่เพียงติดตั้งอุปกรณ์ไว้ตามร้านค้า และเปิด Bluetooth จากโทรศัพท์

ซึ่งในตอนนี้ทางผู้พัฒนาหมอชนะนั้นก็กำลังที่จะพัฒนาแอปตัวใหม่ออกมา ที่ทำให้สถานที่ต่างๆ สามารถติดตั้งอุปกรณ์ Beacon และถ้าหากผู้ใช้นั้นเปิด Bluetooth ข้อมูลการเข้าใช้สถานที่ต่างๆ ก็จะถูกจัดเก็บทันทีโดยไม่ต้องสแกน QR Code ซึ่งจะเหมาะกับสถานที่ต่างๆ อย่างสถานการศึกษา โรงงาน หรือบริษัท โดยเป้าหมายของ Beacon ตัวนี้ก็คือการทำให้กลุ่มเสี่ยงนั้นมีขนาดที่เล็ก ทำให้เมื่อพบผู้ติดเชื้อก็จะสามารถที่จะระบุกลุ่มเสี่ยงได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจต่างๆ จากการล็อกดาวน์ทั้งบริษัทหรือทั้งโรงงาน ซึ่ง Beacon นั้นมีระยะการใช้งานที่ค่อนข้างนาน หากติดตั้งแล้วแบตเตอรี่สามารถใช้ได้นานถึง 2-5 ปี

การแจ้งเตือนความเสี่ยงในกรณีผู้ติดเชื้อที่ระยอง

เนื่องจากในกรณีที่ระยอง ผู้ติดเชื้อชาวอียิปต์นั้นไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น ทำให้ทางผู้พัฒนานั้นต้องเพิ่มข้อมูลของสถานที่ที่ผู้ติดเชื้อเดินทางไปเข้าไปในระบบหลังบ้านของหมอชนะ ซึ่งระบบของหมอชนะก็จะทำการประมวลออกมาว่าในช่วงที่ผู้ติดเชื้อเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ นั้นมีใครบ้าง โดยจะออกมาในรูปแบบของ Anonymous ID และส่งการแจ้งเตือนไปที่ Annonymous ID เหล่านี้ ซึ่งในตอนแรกก็มีจำนวนกลุ่มเสี่ยงที่ทางหมอชนะพบอยู่แค่ 10 คนเท่านั้น ซึ่งค่อนข้างน่าเสียดายมาก ซึ่งหมอชนะก็อาจจะต้องมีการโปรโมตที่มากขึ้นหรือถ้าหากมีผู้เดินทางมากจากนอกประเทศ ก็อาจจะให้ดาวน์โหลดแอปหมอชนะไว้ เพื่อที่จะทำให้การแจ้งเตือนและการติดตามนั้นมีความละเอียดและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้

ทั้งนี้ทางผู้พัฒนานั้นได้ฝากทิ้งท้ายไว้ให้กับทุกคนในการช่วยกันโปรโมทและช่วยกันดาวน์โหลดหมอชนะมาใช้ เพื่อป้องกันทั้งตนเอง ครอบครัว คนรอบข้าง และสังคมจากไวรัส COVID-19 นี้ รวมถึงเพื่อเป็นการช่วยเพิ่ม Data ให้กับทางระบบหมอชนะในการที่จะสามารถติดตามและประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้กลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัวนั้นมีจำนวนเล็กลง ทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่น้อยลงและไม่ต้องมีการล็อกดาวน์อย่างเช่นเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา และอยากให้มั่นใจว่าทางหมอชนะนั้นไม่มีการละเมิดความปลอดภัยข้อมูลส่วนตัวใดๆ จากการทำงานในรูปแบบ Anonymous ID เพียงแต่การใช้ GPS และ Bluetooth นั้นอาจจะมีการกินแบตโทรศัพท์เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็อยากจะให้ประชาชนทุกท่านนั้นดาวน์โหลดแอป ‘หมอชนะ’ นี้มาใช้เพื่อพาประเทศไทยผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

สามารถรับชมการพูดคุยกับผู้พัฒนาแอปหมอชนะแบบเต็ม ๆ ได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=Gz5VnTS7CBU

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

อาเซียนรับกรรม ในบทบาท ‘ถังขยะโลก’ สังเวยชีวิตคนสิ่งแวดล้อม ด้วยการค้าขยะผิดกฎหมาย

ประเทศอาเซียนรับกรรม กลายเป็นถังขยะโลก จากการ ‘ค้าขยะ’ ผิดกฎหมายที่มาจากยุโรป สะท้อนกฎหมายอ่อนแอ ไร้ระบบจัดการขยะแบบยั่งยืน...

Responsive image

มองศึก Virtual Bank ไทย เทียบชั้นผู้เล่นบนเวทีโลกได้หรือไม่

หลังจาก ธปท. เปิดให้ผู้ประกอบการที่สนใจจัดตั้ง Virtual Bank ยื่นขอเข้ามา ส่งผลให้ธุรกิจการเงินในไทยกลับมาคึกคักมากขึ้น...

Responsive image

Google Workspace อัปเกรดครั้งใหญ่ ! ดึงพลัง AI พลิกโฉมการทำงาน

Google Workspace บริการชุดแอปพลิเคชันผ่านระบบคลาวด์ ได้รับการยกเครื่องครั้งใหญ่ด้วยการผสานความสามารถของ Generative AI ในหลากหลายแอปพลิเคชันยอดนิยม เพื่อช่วยให้การทำงานเป็นเรื่องที่...