กสิกรไทยเผยผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2568 กำไรทะลุ 1.3 หมื่นล้าน

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2568 ขยายตัวในวงจำกัด แม้ภาคการส่งออกจะเติบโตจากการเร่งส่งออกก่อนสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษี แต่ภาคการผลิตและการลงทุนเอกชนยังไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ เนื่องจากปัญหาโครงสร้างเชิงลึก การแข่งขันที่รุนแรง และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

สำหรับแนวโน้มตลอดปี 2568 กสิกรไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่ำกว่าปีก่อน โดยมีปัจจัยลบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้าง นอกจากนี้ การขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ยังเป็นแรงกดดันสำคัญต่อสินค้าส่งออกไทยหลายรายการ และเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่อาจซ้ำเติมแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

แม้มาตรการจากภาครัฐจะช่วยพยุงเศรษฐกิจบางส่วน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากการใช้จ่ายในประเทศยังถูกกดดันจากฐานะการเงินของประชาชนที่เปราะบาง และระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อลูกค้าผู้ฝากเงิน ผู้ลงทุน การดูแลช่วยเหลือลูกค้าในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม ทั้งการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม การให้ความร่วมมือผ่านโครงการภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสามารถดำเนินชีวิต และธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน ตลอดจนการส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น ผ่านการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง 

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งของธนาคารได้ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องกับแนวทางสากล โดยมีผลต่อการรับรู้ และการจัดประเภทรายการในงบการเงินเพื่อให้ข้อมูลทางการเงินสะท้อนมูลค่าทางการเงินของกิจการได้ดียิ่งขึ้น งบการเงินรวมปี 2567 ได้มีการปรับปรุงใหม่เสมือนได้นำมาตรฐานฯ ฉบับดังกล่าว มาถือปฏิบัติย้อนหลังเพื่อให้ข้อมูลสามารถเปรียบเทียบกันได้  ทั้งนี้ การนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินดังกล่าวมาใช้ไม่มีผลกระทบอย่างมีสาระสำคัญต่องบการเงินรวมของธนาคารและบริษัทย่อย

ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ปรับปรุงใหม่ ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 2,761 ล้านบาท หรือ 7.23% เป็นผลจากการเผชิญแรงกดดันของภาวะอัตราดอกเบี้ย  ประกอบกับการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ให้มีประสิทธิผลสูงสุดอย่างระมัดระวัง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ระดับ 3.41% แม้ว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโตขึ้นจำนวน 1,826 ล้านบาท หรือ 15.39% จากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน รายได้จากการลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ อย่างไรก็ตาม รายได้จากการดำเนินงานสุทธิ

ลดลงจำนวน 935 ล้านบาท หรือ 1.87% โดยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 40.84% นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงยึดหลักความระมัดระวังอย่างรอบคอบตามที่ได้ปฏิบัติมาอย่างสม่ำเสมอ จึงพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) จำนวน 9,818 ล้านบาท เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพียงพอ รองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าปีก่อน และเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนสูง ทำให้กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารมีจำนวน 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.08% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 เปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ปรับปรุงใหม่ ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้จากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน 397 ล้านบาท หรือ 0.81% หลัก ๆ จากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และรายได้จากการลงทุน แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะลดลงตามภาวะตลาด นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลง 2,243 ล้านบาท หรือ 10.06% ส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เป็นไปตามฤดูกาล รวมทั้งการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้เกิดความคุ้มค่าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้จำนวน 29,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2,640 ล้านบาท หรือ 9.99% นอกจากนี้ การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นยังคงสอดคล้องกับหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง 

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,355,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจำนวน 14,258 ล้านบาท หรือ 0.33% เมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ที่ปรับปรุงใหม่ ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนสุทธิ ซึ่งเป็นการลงทุนตามการคาดการณ์ภาวะตลาดและทิศทางอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เงินให้สินเชื่อสุทธิลดลง เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการขยายสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินทรัพย์ และการเพิ่มผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงให้เหมาะสม ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) อยู่ที่ระดับ 3.19% และค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 159.49% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 20.52%

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Apple เปิดตัว ‘CarPlay Ultra’ ควบคุมรถยนต์ผ่าน iPhone เริ่มใช้งานจริงใน Aston Martin รุ่นใหม่

Apple เปิดตัว CarPlay Ultra พร้อมใช้งานใน Aston Martin และแบรนด์ชั้นนำ ฟีเจอร์ใหม่ควบคุมรถผ่าน iPhone รองรับ iOS 18.5 ขึ้นไป...

Responsive image

นักศึกษาในสหรัฐฯ ขอคืนค่าเรียน หลังพบอาจารย์ใช้ ChatGPT ทำสไลด์

นักศึกษาในสหรัฐฯ ขอคืนค่าเรียนหลังพบอาจารย์ใช้ ChatGPT สร้างเนื้อหาการสอน ทั้งที่ห้ามนักศึกษาใช้ AI กรณีนี้สะท้อนความท้าทายของการนำ Generative AI เข้าสู่ระบบการศึกษา...

Responsive image

SCB 10X ตั้ง "กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร" นั่ง CEO คนใหม่ เดินหน้านวัตกรรมและเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

SCB 10X แต่งตั้ง กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร ขึ้นเป็น CEO คนใหม่ พร้อมเดินหน้าลงทุนเทคโนโลยีระดับโลกและขับเคลื่อนนวัตกรรม เสริมศักยภาพกลุ่ม SCBX สู่อนาคต...