สรุปผลกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2563 ของ 6 ธนาคารไทย | Techsauce

สรุปผลกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2563 ของ 6 ธนาคารไทย

9 เดือนผ่านไปแล้วของ ปี 2563 มาดูกันว่าผลกำไรสุทธิของแต่ละธนาคารไทยในปีนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง

ธนาคารกรุงเทพ 

ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกําไรสุทธิสําหรับ 9 เดือนของปี 2563 จํานวน 14,783 ล้านบาท ซึ่งได้รวมผลประกอบการของธนาคารเพอร์มาตา ตั้งแต่วันที่ธนาคารเข้าถือหุ้นเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 โดยกําไรสุทธิลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักเนื่องจากการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นเงินสํารองสําหรับความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลกระทบของสถานการณ์ โควิด-19 ตามแนวทางการดําเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง

รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 จากช่วงเดียวกันของปี 2562 เป็นผลจากการรวม รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพอร์มาตา โดยมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.28 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ลดลงสาเหตุหลักจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและรายได้จากเงินลงทุน สําหรับค่าใช้จ่าย จากการดําเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.6 เป็นผลจากการรวมค่าใช้จ่ายของธนาคารเพอร์มาตา และประมาณการ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการควบรวมสาขาในประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดําเนินงานอยู่ ที่ร้อยละ 52.0

ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่หดตัวทั่วโลก ธนาคารกรุงเทพยังคงยึดมั่นแนวทางการดำเนินธุรกิจ ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบควบคู่กับการดำรงฐานะการเงินสภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน และเตรียมพร้อมการรองรับการดำเนินธุรกิจตามบริบทใหม่(New Normal) 

ธนาคารกรุงไทย

ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรจากการดําเนินงานในช่วงเก้าเดือนปี 2563 เท่ากับ 54,149 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อที่มา จากการได้รับเงินบางส่วนจากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจํานอง (“รายได้ดอกเบี้ยพิเศษ”) นอกเหนือจากต้นทุนทาง การเงินที่ลดลง ท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยนโยบายที่ถูกปรับลดลงจนต่ําสุดเป็นประวัติการณ์ที่ร้อยละ 0.50

นอกจากนี้ การ ขยายตัวของสินเชื่อซึ่งส่งผลให้สัดส่วนของสินเชื่อเปลี่ยนแปลงทําให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) ลดลงเป็น ร้อยละ 3.09 จากร้อยละ 3.33 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ รายได้อื่นยังคงขยายตัวดี ประกอบกับค่าใช้จ่ายจากการ ดําเนินงานที่ลดลงร้อยละ 13.8 โดยมี Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 42.20 ลดลงจากร้อยละ 48.77 ในช่วงเดียวกันของปี 2562

ธนาคารและบริษัทย่อยได้พิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ ในการประมาณการถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อย่างรุนแรงและมีความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อ จึงได้ตั้งสํารองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จํานวน 35,649 ล้านบาท โดยได้รวมถึงการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตเต็มจํานวนสําหรับลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่รายหนึ่งในธุรกิจ สาธารณูปโภคและบริการที่เกี่ยวกับการขนส่งเพื่อสะท้อนถึงฐานะความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกค้าดังกล่าวในไตรมาสที่ 2/2563 สูงขึ้นจากหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญฯ ในช่วงเดียวกันของปี 2562 ร้อยละ 87.7 โดยอัตราส่วน Coverage Ratio ณ 30 กันยายน 2563 สูงขึ้นเป็นร้อยละ 135.6 จากร้อยละ 131.8 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะ สูญต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) เท่ากับ ร้อยละ 4.21 ลดลงจากร้อยละ 4.33 ณ 31 ธันวาคม 2562

จากผลประกอบการดังกล่าวธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 13,279 ล้านบาท ลดลง ร้อยละ 39.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์ถ่วงน้ําหนักตามความเสี่ยง เท่ากับ ร้อยละ 15.01 และ ร้อยละ 18.42 ตามลําดับ อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธปท.

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

จากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสใน ไตรมาสสาม ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างต่ํา และกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่ต่ํากว่าช่วงก่อนการระบาดของโรค ติดเชื้อโคโรนาไวรัสอย่างมีนัยสําคัญ

ในฐานะธนาคารพาณิชย์ที่มีความสําคัญเชิงระบบ กรุงศรียังคงดําเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อบรรเทาภาระทาง การเงินสําหรับลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อยที่ประสบปัญหา ในไตรมาส 3/2563 ธนาคารได้ให้การสนับสนุนลูกค้า ด้วยการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนเพื่อเตรียมความพร้อม ให้แก่ลูกค้าก่อนการครบกําหนดมาตรการพักชําระหนี้ในระหว่างไตรมาส

จากสภาพแวดล้อมในการดําเนินธุรกิจข้างต้น กําไรสุทธิในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่จํานวน 19,655 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 25.3 หรือจํานวน 6,656 ล้านบาท จากช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2562 เนื่องจากไม่มีการ บันทึกกําไรพิเศษจากการขายหุ้นจํานวนร้อยละ 50 ของบริษัท เงินติดล้อ จํากัด และค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับประมาณการ หนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากการชดเชยกรณีพนักงานเกษียณและเลิกจ้างตามการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2562

หากไม่รวมรายการพิเศษในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2562 ดังกล่าวข้างต้น กําไรสุทธิในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2563 ลดลงร้อยละ 4.1 หรือจํานวน 848 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเก้าเดือนแรกของปี 2562 โดยปัจจัยหลักมาจากการ เพิ่มขึ้นของการตั้งสํารองเพื่อรองรับการด้อยลงของคุณภาพของสินเชื่อ ซึ่งสะท้อนการบริหารจัดการคุณภาพของ สินทรัพย์ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และการลดลงของกําไรจากการดําเนินงาน

ธนาคารกสิกรไทย 

ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไรสุทธิสําหรับงวด 9 เดือน ปี 2563 จํานวน 16,229 ล้านบาท และมีกําไรสุทธิสําหรับ ไตรมาส 3 ปี 2563 จํานวน 6,679 ล้านบาท

ผลการดําเนินงานสําหรับงวด 9 เดือน ปี 2563 เมื่อเปรียบเทียบกับงวด 9 เดือน ปี 2562 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกําไร สุทธิจํานวน 16,229 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนจํานวน 13,695 ล้านบาท หรือ 45.77% ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ ธนาคารและบริษัทย่อยใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสํารองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss) เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจํานวน 17,692 ล้านบาท หรือ 70.24% โดยการคํานึงถึงปัจจัยต่าง ๆ อย่าง รอบคอบจากความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลงจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 

ประกอบกับมาตรการของ ทางการที่ให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ทําให้ยังคงต้องมีการติดตามดูแลคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจํานวน 5,301 ล้านบาท หรือ 6.87% ส่วนใหญ่เกิดจากการเติบโตของสินเชื่อ รวมทั้งการรับรู้ รายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมรับเกี่ยวกับการให้สินเชื่อด้วยวิธีดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) ซึ่งเป็นการปฏิบัติตาม TFRS 9 ประกอบกับการปรับลดอัตราเงินนําส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินลง และการลดลงของค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ยจากเงินรับฝาก เป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ลดลง ทําให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.34% 

นอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจํานวน 8,085 ล้านบาท หรือ 19.41% ส่วนใหญ่ เกิดจากค่าธรรมเนียมรับเกี่ยวกับการให้สินเชื่อลดลงจากการเปลี่ยนไปแสดงเป็นรายได้ดอกเบี้ย และรายได้จากการจําหน่าย หลักทรัพย์ที่ลดลง สําหรับค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงานอื่น ๆ ลดลงจํานวน 1,829 ล้านบาท หรือ 3.55% ส่วนใหญ่เกิดจากการ ลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคาร สถานที่และอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายกิจกรรมทางการตลาด ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายในการจัดการหนี้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดําเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดําเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 42.87%

ธนาคารทหารไทย

ในไตรมาส 3 ปี 2563 ธนาคารยังคงเผชิญกับความท้าทายเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจหยุดชะงักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทีเอ็มบียังคงปรับปรุงพอร์ตสินเชื่อและเน้นสินเชื่อที่มีคุณภาพมากขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่เงินฝากเพื่อออมหลัก สำหรับลูกค้ารายย่อยเติบโตได้ตามเป้าหมายเสริมสร้างฐานเงินฝากอย่างแข็งแกร่ง ในภาวะอัตราดอกเบี้ยขาลงและสินเชื่อชะลอตัว รายได้ดอกเบี้ยและส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยมีสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อยจากมาตรการล็อคดาวน์ ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยยังคงชะลอตัวจากรายได้ที่มิใช่รายได้หลักของธนาคารจาก ความท้าทายในการเติบโตด้านรายได้ การรับรู้ประโยชน์ด้านต้นทุน (Cost Synergy realization) ยังคงทำได้ตามแผน สะท้อนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง ธนาคารคงความรอบคอบและตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับภาพรวมที่อาจเกิดความไม่แน่นอนในอนาคต ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ ในระดับต่ำที่ร้อยละ 2.33 

ธนาคารได้มีการตั้ง ECL เพิ่มเติม เพื่อการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss: ECL) เพื่อรับมือกับความ ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจผันผวนจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับมาตรการความ ช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการโควิด-19 ตามแนวทางของ ธปท. ธนาคารยังคงความ รอบคอบและตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หรือ ECL เพิ่มขึ้นเป็นจํานวน 6,863 ล้าน บาท ในไตรมาส 3/2563 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.0 จากไตรมาสก่อน และร้อยละ 137.2 จากช่วงเวลา เดียวกันปีก่อน

สําหรับรอบ 9 เดือนปี 2563 ECL อยู่ที่ 16,595 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 129.8 YoY การตั้งสํารองเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้สะท้อนแบบจําลอง ECL ที่คาดการณ์แนวโน้มในอนาคตและ management overlay ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย กําไรสุทธิ หลังตั้งสํารองฯ และหักภาษี กําไรสุทธิในไตรมาส 3/2563 อยู่ที่ 1,619 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 47.7 QoQ และร้อยละ 23.3 จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน 

สําหรับรอบ 9 เดือนปี 2563 ธนาคารมีกําไรสุทธิอยู่ที่ 8,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.3 YoY ซึ่งคิดเป็นอัตรา ผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น หรือ ROE ที่ร้อยละ 6.0

ธนาคารไทยพาณิชย์

ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทย่อยมีกําไรสุทธิ (งบการเงินรวมก่อนสอบทาน) ในไตรมาส 3 ของปี 2563 จํานวน 4,641 ล้านบาท ลดลง 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการตั้งเงินสํารองปกติที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้ และการเทียบ กับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายการกําไรพิเศษครั้งเดียวจากการขายหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต หาก ไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว กําไรสุทธิลดลง 56% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ กําไรจากการดําเนินงานยังอยู่ในระดับ ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สําหรับเก้าเดือนแรกของปี 2563 ธนาคารมีกําไรสุทธิจํานวน 22,252 ล้านบาท ลดลง 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ในไตรมาส 3 ของปี 2563 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจํานวน 23,724 ล้านบาท ลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยหลังจากที่ธนาคารได้ขายหุ้นของบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในปีที่ผ่านมาและการหดตัว ของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งเป็นผลส่วนใหญ่จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี ในขณะที่สินเชื่อโดยรวมขยายตัว 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 3% จากสิ้นปี 2562 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจํานวน 10,761 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมกําไรพิเศษครั้งเดียวจากการ ขายหุ้นในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิตในปีก่อน 

กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายหลังการผ่อน คลายมาตรการปิดเมือง ทําให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยประเภทเกิดประจํา (recurring) ในไตรมาส 3 ของปี 2563 เริ่มมีสัญญาณ ปรับตัวดีขึ้นโดยเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานมีจํานวน 15,747 ล้านบาท ลดลง 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการที่ธนาคารสามารถ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจที่ยากลําบาก อย่างไรก็ตามรายได้รวมของธนาคารยังคง ได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ของธนาคารในไตรมาส 3 ของปี 2563 ปรับ สูงขึ้นเป็น 46%

นอกจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพตามปกติ ธนาคารได้ทําการประเมินคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดอย่างรอบคอบ เพื่อทําการจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพในกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง และมีแนวโน้มสูงที่จะฟื้นตัวไม่ได้ภายใต้โครงการให้ความ ช่วยเหลือทางการเงิน ส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 อยู่ที่ 3.32% เพิ่มขึ้นจาก 3.05%

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและคุณภาพสินเชื่อที่อาจด้อยลงจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 ในไตรมาส 3 ของปี 2563 ธนาคารได้ตั้งเงินสํารองจํานวน 12,955 ล้านบาท โดยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของ ธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ 146% ในขณะที่เงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.7%

ที่มา SET



ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

จับตา 18 อุตสาหกรรม พลิกโฉมเศรษฐกิจโลก สร้างรายได้กว่า 48 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2040

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจดุเดือดกว่าเดิม มีอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่กำลังมาแรง และเติบโตแบบก้าวกระโดด เราเรียกอุตสาหกรรมเหล่านี้ว่า 'Arenas' ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็ต้...

Responsive image

Gemini 2.0 คืออะไร ใช้ทำอะไรบ้าง ? สรุปของใหม่กับ AI ที่เก่งที่สุดของ Google

หลังจาก Google เปิดตัว Gemini 1.0 ซึ่งเป็น AI แบบ Multimodal และพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนมีผู้ใช้มากถึง 2 พันล้านคนทั่วโลก ล่าสุดได้มีการอัปเกรดเวอร์ชันใหม่ในชื่อ Gemini 2.0 ซึ่งเป็น...

Responsive image

พลังงานจากหลุมดำ พุ่งชนวัตถุลึกลับในกาแล็กซี เกิดรอยปริศนารูปตัว V

NASA พบร่องรอยแปลกประหลาดจากการพุ่งชนของลำแสงพลังงานสูงที่มาจากหลุมดำขนาดมหึมาในกาแล็กซี Centaurus A (Cen A) ซึ่งอยู่ห่างจากโลก 12 ล้านปีแสง การค้นพบนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการ...