I don’t care I have มรดก เผย ปีที่แล้วเศรษฐีหน้าใหม่รวยเพราะมรดกกว่า 1.4 แสนล้าน ส่งสัญญาณถึงการเริ่มต้นของ "การถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่"
รายงานจาก UBS (Union Bank of Switzerland) เผย ปีที่ผ่านมามหาเศรษฐีหน้าใหม่ ได้รับมรดกความมั่งคั่งจากครอบครัว มากกว่ารํ่ารวยจากการประกอบธุรกิจของตนเอง ซึ่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2015
โดยทายาท 53 รายได้รับเงินรวม 1.5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์ที่มหาเศรษฐีหน้าใหม่ 84 คนสร้างมาด้วยการทำธุรกิจ
ถ้าพูดถึงภาพลักษณ์ของ Nepo Baby หรือเหล่าทายาทที่ได้รับผลประโยชน์จากความสำเร็จของพ่อแม่ ก็จะต้องนึกถึงในวงการ Hollywood เป็นหลัก เพราะทายาทจากหลาย ๆ ครอบครัวอย่าง Lilly-Rose Depp ลูกสาวของนักแสดงดัง Johnny Depp ที่ได้รับโอกาสในการแสดงจากบทเล็ก ๆ ตั้งแต่ยังอายุน้อย หรือทายาทจากบ้าน Kardashian แต่ในปัจจุบัน Nepo Baby ไม่ได้จำกัดอยู่แค่นี้อีกต่อไป
เด็กที่มาจากครอบครัวที่รํ่ารวยมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า อันมาจากการลงทุนทางด้านการศึกษาจากพ่อแม่ การถ่ายทอดยีนครอบครัว รวมถึงโอกาสที่ได้รับจากพ่อแม่
การวิจัยโดยนักเศรษฐศาสตร์ Matthew Staiger จาก Opportunity Insights ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยให้เห็นว่าคนที่หางานผ่านทางผู้ปกครองจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยคิดเป็น 19% เมื่อเทียบกับทายาทที่ไม่ได้ทำงานผ่านพ่อแม่
และจากการศึกษา Billionaire Ambitions โดย UBS ชี้ให้เห็นถึงการส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น พบว่ามหาเศรษฐีรุ่นใหม่รวยจากการรับมรดกจากครอบครัวมากกว่าการตั้งธุรกิจขึ้นใหม่เป็นของตัวเองในช่วงปีที่ผ่านมา
โดยทายาท 53 รายได้รับเงินรวม 1.5 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 5.2 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงกว่า 1.4 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 4.8 ล้านล้านบาท) ที่มหาเศรษฐีหน้าใหม่ 84 คนสร้างมา สิ่งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นจากปีก่อน ๆ และส่งสัญญาณถึงการเริ่มต้นของ "การถ่ายโอนความมั่งคั่งครั้งใหญ่"
แต่ใครว่า Nepo baby จะต้องเหลาะแหละเสมอไป เหล่าทายาทเศรษฐีเจนใหม่ส่วนใหญ่กว่า 68% มีความต้องการที่จะสานต่อความสำเร็จและมรดกที่ครอบครัวได้สร้างเอาไว้ แต่ก็มีมุมมองการลงทุน การรับความเสียงที่แตกต่างกันไประหว่าง Generation
เศรษฐีในรุ่นก่อตั้งมีแนวโน้มที่จะชอบลงทุนในตราสารหนี้ ในขณะที่ทายาทเจนใหม่เลือกให้ความสำคัญกับหุ้นนอกตลาด นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในเป้าหมายด้านการกุศล โดยมหาเศรษฐีรุ่นแรกต้องการจะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคม ในขณะที่ทายาทมักลังเลที่จะมอบเงินที่พวกเขาไม่ได้หามาด้วยตนเอง แต่เปลี่ยนเป็นกิจกรรมเพื่อความยั่งยืนแทน
รายงานยังชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี วิกฤตการณ์ระดับโลก เช่น การระบาดของ Covid-19 และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปต่อการลงทุน มีส่วนทำให้เกิดความแตกต่างทางความคิดระหว่างสองรุ่น ซึ่งทำให้ทายาทเศรษฐีเจนใหม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงถ้าหากต้องการที่จะรักษามรดกของครอบครัวเอาไว้ต่อไป
สิ่งที่น่าสนใจคือข้อมูลเผยให้เห็นแนวโน้มที่ทายาทเศรษฐีเจนใหม่จะก้าวออกจากธุรกิจครอบครัวแบบเดิม ๆ โดย 57% ไม่ได้ทำงานในธุรกิจของครัว และ 43% ดำรงตำแหน่งในบริษัทครอบครัวในระดับผู้บริหาร ชี้ให้เห็นถึงความพยายามสร้างรูปแบบธุรกิจที่แข็งแรงในหมู่ทายาท ที่สร้างเส้นทางของตนเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แทนที่จะพึ่งพาธุรกิจครอบครัวเพียงอย่างเดียว
แต่ถึงแม้เหล่ามหาเศรษฐีเจนใหม่จะค่อย ๆ ก้าวออกเซฟโซน แล้วหันมาเปลี่ยนแปลงธุรกิจในแบบของตนเอง แต่ทั้งสองรุ่นก็มีเป้าหมายที่ตรงกันก็คือการส่งต่อประโยชน์จากความมั่งคั่งนี้ไปยังรุ่นสู่รุ่นต่อไปในอนาคต โดยคิดเป็นกว่า 60% เลยทีเดียว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด