NIKKEI จับมือ SASIN จัดงาน NIKKEI SASIN FORUM 2019 ชวนคุยประเด็น Smart City ดันการพัฒนาเมืองทั้งเมืองหลักเมืองรอง ชูประเด็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาเมือง
เริ่มต้นการกล่าวเปิดงานโดย Dr. Lan Fenwick ผู้อำนวยการ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พูดถึงความสำคัญของการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของโลกในยุคปัจจุบัน และความร่วมมือระหว่าง NIKKEI และ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์
ต่อด้วย ดร.ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ที่มาพูดถึงภาพรวม Smart City ในประเทศไทย
ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเติบโตขึ้นเรื่อย และยังเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก การสร้าง Smart City จึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่จะเข้ามาตอบโจทย์ของสังคมดิจิทัล และทำให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ที่น่าเที่ยวและน่าอยู่
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังจะขยายความเป็น Smart City ให้มากยิ่งขึ้น แต่ด้วยจำนวนของจังหวัดที่มีมากถึง 77 จังหวัด ทำให้การพัฒนา Smart City อาจยังไม่ทั่วถึงมากนัก ถึงอย่างไรก็ตามคาดว่าภายในปี 2030 จะมีประชากรย้ายเข้ามาในเขตพื้นที่เมืองอย่างกรุงเทพฯ สูงถึงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในจุดนี้เองการหลั่งไหลเข้ามาของผู้คนก็ทำให้เกิดปัญหาที่หลากหลายเช่นกันไม่ว่าจะเป็น การจราจรติดขัด ขยะที่เกิดขึ้นจำนวนมาก และขนาดของพื้นที่ที่แออัด โดยที่ผ่านมาเราได้มีการวางแผน National Charter Phase 1 แล้ว
สำหรับเทคโนโลยีที่จะถูกนำมาใช้ใน Smart City ก็คือ IOT, Big Data, AI และ CPS นอกจากนี้ ดร.ภาสกร ยังได้ยกตัวอย่าง ภูเก็ต หนึ่งในเมืองที่เข้าร่วมการเป็น Smart City โดยล่าสุด ได้มีการพัฒนาทั้งถังขยะอัจฉริยะ CCTV และ Free Wifi ในการติดตามข้อมูลนักท่องเที่ยว
นอกจากภูเก็ตแล้ว ยังมีการผลักดันให้หลายๆ จังหวัดเข้าร่วมปรับตัวเป็น Smart city โดยได้ออกแบบโลโก้ Smart City เพื่อให้แต่ละจังหวัดยื่นขอเข้ามาเพื่อนำไปติดตามจังหวัดของตน ซึ่งได้มีหลายจังหวัดที่ให้ความสนใจและยื่นใบสมัครเข้ามาเพื่อขอรับอบรมและบูรณาการจังหวัด อีกทั้ง depa ยังมีพันธมิตรผู้สนับสนุนอีกกว่า 80 ราย
คุณพิรุณ ไพรีพ่ายฤทธิ์ Head of 5G Working Group, True Cororation Plc. เผยว่า กว่า 50 เมืองทั่วโลกประสบปัญหาประชากรล้นหลามกว่า 10 ล้านคนในเมือง ซึ่งกรุงเทพฯ ก็คือหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าความท้าทายไม่ใช่แค่เรื่องของขนาด แต่เป็นความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้คน วิถีชีวิตที่แตกต่างจากแต่ก่อน
ในปัจจุบันนี้กรุงเทพฯ มีความพร้อมในด้านการเป็น Smart City อยู่ที่อันดับที่ 75 ในขณะที่สิงคโปร์ขึ้นครองอันดับ 1 แล้วอะไรบ้างที่เราควรมีเพื่อตอบรับกับความเป็น Smart City นั่นก็คือ AI, Big Data, IOT หุ่นยนต์ และ 5G สิ่งเหล่านี้จะเข้ามาทำหน้าที่แทนคน เพื่อช่วยงานในการสร้างความเชื่อมต่อและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างทันท่วงที
ประเทศไทยจัดว่าเป็นประเทศท้ายๆ ในการรับเอา 3G เข้ามาใช้ และก็ปรับตัวให้ทันรับนำ 4G เข้ามาใช้เป็นรายแรกๆ และเชื่อว่าในรอบนี้ประเทศไทยเองก็จะเป็นผู้นำเอา 5G เข้ามาใช้เป็นรายแรกๆ ของเอเชียอีกเช่นเคย
หลายๆ คนบอกว่าเทคโนโลยี 4G ได้เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คน มันคือการสื่อสารระหว่างมนุษย์สู่มนุษย์ แต่เทคโนโลยี 5G จะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคม เป็นการสื่อสารระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร”
ที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านต่างให้ความสนใจกับ 5G และวางแผนในการพัฒนาอย่างชัดเจน รัฐบาลไทยเองจึงต้องเร่งดำเนินการเช่นกัน โดยคาดว่าประเทศไทยจะพร้อมใช้งานในปี 2021
คุณพิรุณ ทิ้งท้ายว่าในการเป็นประเทศที่พร้อมรับกับ 5G นั้น เราต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และต้องการกรณีศึกษาจำนวนมาก เพราะเราไม่ใช่แค่กำลังจะพัฒนา Smart city เท่านั้นแต่เรายังมุ่งพัฒนาประเทศให้มีความพร้อมเช่นกัน
‘อีกหน่วยงานหนึ่งที่เข้ามาสนับสนุนในการผลักดัน Smart city ก็คือ JASCA Japan Association for Smart Cities in ASEAN (JASCA) โดยในงานวันนี้ มีคุณ Koji Uebayashi ตัวแทนจาก JASCA มาเล่าถึงโครงการให้ฟัง
JASCA มีเป้าหมายที่จะสนับสนุนการเกิด Smart City ในอาเซียน ผ่านการเป็นศูนย์กลางในการสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยมีสมาชิกอยู่กว่า 230 รายในปัจจุบัน
ที่ผ่านมานั้น JASCA ได้ผลักดันหากหลายกิจกรรมในการสนับสนุนการเกิด Smart city ในประเทศกลุ่มอาเซียน และทำแบบชี้วัดปัจจัยการเกิด Smart City อีกด้วย พร้อมเข้าช่วยเหลือในการลดช่องว่างระหว่างองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ในการทำงานร่วมกัน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด