OR เผยผลประกอบการปี 2563 มีรายได้ 428,804 ล้านบาท พร้อมลุยขยายธุรกิจน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil ต่อเนื่อง | Techsauce

OR เผยผลประกอบการปี 2563 มีรายได้ 428,804 ล้านบาท พร้อมลุยขยายธุรกิจน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil ต่อเนื่อง

ในปี 2563 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีรายได้ขายและบริการ 428,804 ล้านบาท ลดลง 148,330 ล้านบาท หรือคิดเป็น -25.7% จากปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิมีจำนวน 8,791 ล้านบาท ลดลง 2,105 ล้านบาท หรือคิดเป็น -19.3%

ผลการดำเนินงาน ปี 2563 

ในปี 2563 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (“กลุ่ม OR”) มีรายได้ขายและบริการ 428,804 ล้านบาท ลดลง 148,330 ล้านบาท (-25.7%) จากปีก่อน โดยหลักจากรายได้กลุ่มธุรกิจน้ำมัน โดย (1) ราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเป็นผลจากสงครามราคาระหว่างกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (OPEC) และประเทศรัสเซีย ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของอุปทานน้ำมันทั่วโลก รวมทั้งอุปสงค์ของน้ำมันทั่วโลกก็ลดลงจากการระบาดของโรค COVID-19 และ (2) ปริมาณขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักปรับลดลง ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยานดีเซล และเบนซิน จากผลกระทบของการระบาดของโรค COVID-19 สำหรับในประเทศไทยเพื่อระงับและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 รัฐบาลไทยจึงได้ออกมาตรการจำกัดการเดินทาง และเวลาในการเปิด-ปิด ร้านค้า ส่งผลกระทบต่อปริมาณการขายในช่วงเดือนเมษายน 2563

สำหรับ EBITDA ในปี 2563 จำนวน 17,619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 615 ล้านบาท (+3.6%) จากปีก่อน บางส่วนเป็นผลจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน (Thailand Financial Reporting Standard : TFRS ) ฉบับที่ 16 สัญญาเช่า ทำให้ต้องจัดประเภทค่าเช่าที่เข้าเงื่อนไขตามมาตรฐานบัญชี จากเดิมจัดอยู่ในประเภทค่าใช้จ่ายดำเนินงานไปเป็นค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้นประมาณ 1,361 ล้านบาท แม้ว่ากำไรขั้นต้นปรับลดลง948 ล้านบาท (-2.8%) โดยหลักจากธุรกิจน้ำมันในผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยานที่ปริมาณขายลดลงขณะที่กำไรขั้นต้นเฉลี่ยของน้ำมันอากาศยานปรับเพิ่มขึ้น ในด้านค่าใช้จ่ายดำเนินงานสุทธิและรายได้อื่น ปรับลดลง 1,567 ล้านบาท (-9.2%) โดยหลักจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงผันแปรตามปริมาณขายที่ลดลงเช่น ค่าจ้างเติมน้ำมันอากาศยาน ค่าขนส่ง ค่าโฆษณาส่งเสริมการขาย เป็นต้น รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16 เรื่องสัญญาเช่า ตามที่กล่าวข้างต้น ทำให้ปี 2563 มี EBITDA margin รวมที่ 4.1% 

สำหรับ กำไรสุทธิในปี 2563 มีจำนวน 8,791 ล้านบาท ลดลง 2,105 ล้านบาท (-19.3%) จากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้นจากการขยายสถานีบริการและร้านคาเฟ่ อเมซอน รวมถึงการจัดประเภทค่าใช้จ่ายตามมาตรฐานบัญชีใหม่นอกจากนี้ มีผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ทางการเงินเพิ่มขึ้น จากการเริ่มใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9เครื่องมือทางการเงิน ตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2563 โดยรวมแล้วส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้น อยู่ที่ 0.98 บาท ปรับลดลง (-19 %)

ความคืบหน้าโครงการและแผนงานสำคัญ

OR มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายเครือข่ายทั้งธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจ Non-Oil ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยณ 31ธันวาคม 2563 มีสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์ PTT Station จำนวน 2,334 สถานี และร้านคาเฟ่ อเมซอน จำนวน3,575 สาขา และร้านเท็กซัส ชิคเก้น 78 แห่ง นอกจากนี้ OR ยังมีโครงการลงทุนที่สำคัญเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนิน ธุรกิจ โดยมีความคืบหน้า ดังนี้

• การก่อสร้างโรงงานเบเกอรี่ส่วนกลาง ศูนย์กระจายสินค้าสำหรับธุรกิจคาเฟ่ อเมซอน โรงผลิตผงผสมเครื่องดื่ม เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพ และควบคุมมาตรฐานและคุณภาพ โดยมีแผนจะแล้วเสร็จภายในปี 2564

• การดำเนินการก่อสร้างคลังเก็บผลิตภัณฑ์แห่งใหม่ในเมียนมาผ่านบริษัทร่วมค้า Brighter Energy CompanyLimited (BE) เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจน้ำมันในเมียนมา โดยมีแผนจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2564

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดว่าจะขยายตัวในช่วง2.5% – 3.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ประกอบด้วย (1) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (2) แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ (3) การกลับมาขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชน ในประเทศ และ (4) การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัว 5.8% การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวที่2.0% และ 5.7% ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 1.0% –2.0% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอยู่ที่ 2.3% ของGDP

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2564

มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องและกลับมาขยายตัวได้ภายหลังจากผ่านพ้นจุดต่ำสุดจากการลดลงอย่างรุนแรงในปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์2563ภายในประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ประกอบกับผลจากการดำเนินมาตรการเศรษฐกิจทั้งมาตรการทางการเงินและการคลังเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยในมีสมมติฐานคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในหลายประเทศ จะผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้วในปี และจะสามารถรักษาอัตรา 2563 การระบาดให้อยู่ในระดับที่ไม่เกินศักยภาพทางสาธารณสุขของประเทศและสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้มากขึ้นตามลำดับผ่านการรักษาสุขอนามัยและการรักษาระยะห่าง ขณะเดียวกัน ในส่วนของภาคการท่องเที่ยวหลายประเทศมีแนวโน้มที่จะเริ่มทำข้อตกลงเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างประเทศทางอากาศแบบไม่ต้องกักตัว โดยเฉพาะประเทศที่มีความเสี่ยงของการระบาดของโรคในระดับต่ำดังจะเห็นได้จากในปัจจุบันที่เริ่มมีการดำเนินการแล้ว ได้แก่ ระหว่างออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และระหว่างสิงคโปร์และเวียดนาม ซึ่งจะส่งผลให้มีการเดินทางระหว่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2564

แนวโน้มราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์

ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปี 2564 ตามรายงานของ IEA ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2564 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.4 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2564 ไปอยู่ที่ระดับ 96.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน สศช. คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2564 จะอยู่ในช่วง48.0 – 58.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากปี 2563 โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ (1) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก (2)ความร่วมมือระหว่าง OPEC ในการปรับลดกำลังการผลิตในปี 2564 (3) ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำ และ (4)ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของกลุ่ม OPEC

สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน คาดการณ์แนวโน้มการใช้พลังงานปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วง 0.2% - 1.9%จากการเพิ่มขึ้นของพลังงานเกือบทุกประเภท ยกเว้นการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่คาดว่ามีการใช้ลดลงในช่วง 1.9%-2.9% โดยคาดว่าการใช้น้ำมันเครื่องบินจะลดลงในช่วง 45.8% - 51.5% ตามการหดตัวของการท่องเที่ยว และการใช้ LPG ในส่วนที่ไม่รวมการใช้เป็นFeed stocks ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีคาดว่าจะลดลงในช่วง 0.7%-2.7% ส่วนการใช้น้ำมันดีเซลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วง 0.8%-1.3% การใช้เบนซินและแก๊สโซฮอลล์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วง 0.3%-0.8% การใช้ LPG โพรเพน และบิวเทนคาดว่าจะมีการใช้ลดลง ในช่วง 1.0%-5.5 % โดยการใช้ในภาคครัวเรือนคาดว่าเพิ่มขึ้นในช่วง 1.1%-2.5% และภาคอุตสาหกรรมคาดว่าเพิ่มขึ้นในช่วง1.2% -3.6% ในขณะที่การใช้ในรถยนต์คาดว่าจะลดลงในช่วง12.2%-15.8% 


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

KBTG จับมือ 3 มหา’ลัยชั้นนำ สร้าง Co-Master's Degree ปั้น ป.โท เก่ง AI ออกสู่ตลาด

หลักสูตรการศึกษามาใหม่! ที่ KBTG จับมือ 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) มหาวิทยาลัยมหิดล (MU) และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU)...

Responsive image

Apple ทุ่มลงทุน 336 ล้านบาท หวังปลดล็อคแบน iPhone 16 ในอินโดฯ

iPhone 16 ในอินโดจะยังได้ไปต่อไหม? เมื่อ Apple เสนอเงินลงทุนกว่า 336 ล้านบาทในอินโดนีเซีย หวังปลดล็อคการแบน iPhone รุ่นล่าสุด หลัง Apple ยังไม่บรรลุเป้าหมายการลงทุนในประเทศตามที่ต...

Responsive image

จีนท้าชนสหรัฐฯ เดินหน้าครองอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก ท่ามกลางแรงกดดัน

สหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์หลายอย่าง เช่นการควบคุมการส่งออกและการห้ามจำหน่ายอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อสกัดกั้นการเติบโตของจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น ชิป AI และเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไ...