โดยการปลดพนักงานในครั้งนี้ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อพนักงานในสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์กแล้ว ยังรวมทั้งในพลาโน ในรัฐเท็กซัสอีกด้วย โดยพนักงานที่ได้รับการผลกระทบจะสามารถทำงานได้ถึงเดือนเมษายนนี้เท่านั้น
จากการประเมินเหตุการณ์ในครั้งนี้ คาดว่าในปี 2019 จะมีหลายโปรเจกต์ ที่จะได้รับความเสียหาย รวมมูลค่าราว 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (จาก 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ซึ่งก่อนหน้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ทาง PepsiCo ได้ประกาศแผนการปลดพนักงาน (คิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ จากพนักงาน 110,000 คน) ซึ่งรวมพนักงาน 200 คนที่ทำงานในสำนักงานใหญ่ ในนครนิวยอร์กด้วย
ทางบริษัทยังได้ประกาศว่าจะทำการรักษางบ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี ไปจนถึงปี 2023 ซึ่งการเดินหน้าตามแผนปรับโครงสร้างถือเป็นแกนหลักสำคัญของแผนงานในไตรมาสนี้
"อีกหนึ่ง Priority ของเราคือการปรับการทำงานให้เป็นแบบลีน และ Agile มากขึ้น อีกทั้งลดความเป็นระบบราชการ (Bureaucracy) ลง" Ramon Laguarta ซีีโอของบริษัท เป๊ปซี่ โค กล่าว
"และเพื่อเป็นการดำเนินตามแผนที่วางไว้ เราจะทำงานลดงบประมาณ เพื่อประหยัดงบ เพื่อที่จะสามารถนำไปพัฒนาส่วนอื่นแทน"
ในด้าน Hugh Johnston ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ก็ได้กล่าวกับสำนักข่าว CNBC ในเรื่องแผนการของบริษัท ในการปลดพนักงานในตำแหน่งที่สามารถแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติว่า "ในการขึ้นมาเป็นผู้นำ และปรับการทำงานให้เป็นแบบ Agile มากขึ้นนั้น ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงการปลดพนักงานไม่ได้เลย"
เราจะเดินหน้าปรับการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ ทำการผสานโมเดลธุรกิจด้วยแนวความคิดและเทคโนโลยีใหม่ ๆ
สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางเป๊ปซี่ โค ประกาศ ว่าจะปรับให้เหลือออฟฟิศที่สหรัฐเพียงสี่แห่ง และที่แคนาดาเพียงแห่งเดียว ซึ่งการปรับโครงสร้างในครั้งนี้จะช่วยทำให้การทำงานเป็นไปอย่างง่ายและรวดเร็วมากขึ้น
ที่มา : Business Insider, Gizmodo
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด