บริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศว่า 'Philips Lighting' เปลี่ยนชื่อเป็น 'Signify' แล้ว เผย Mega Trend ของโลกเกี่ยวกับการใช้แสง พบไลฟ์สไตล์, จำนวนประชากร และตัวเมืองเปลี่ยนไป ทำให้มีความต้องการใช้แสงมากขึ้น แต่ก็ยังต้องการใช้ไฟอย่างประหยัด และต้องการให้มีระบบดิจิทัลอย่าง IoT เข้ามาช่วยเพื่อนำไปสู่ Industry Transformation ในอนาคต
คุณเฉลิมพงษ์ ดรงค์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่ามี Philips ประวัติยาวนานถึง 127 ปี โดยเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2495 ปีนี้เป็นปีที่ 66 ที่ Phillips ดำเนินกิจการในประเทศไทย โดยเมื่อปี 2557 Philips ได้แยกบริษัท โดย “Royal Philips” จะดำเนินนวัตกรรมเกี่ยวกับสุขภาพ ชื่อในไทยคือ “บริษัท ฟิลิปส์ ไทยแลนด์ จำกัด”
ในขณะที่ “Philips Lighting” จะเป็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แสงสว่าง ชื่อในไทยคือ “บริษัท ฟิลิปส์ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด” จะเปลี่ยนชื่อเป็น “Signify” โดย Signify N.V. บริษัทแม่ที่อัมสเตอร์ดัม จดทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ไปแล้ว แต่สำหรับในประเทศไทยกำลังดำเนินการขอจดทะเบียนชื่อใหม่อยู่
หนึ่งในสาเหตุหลักในการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก เป็น คุณเฉลิมพงษ์ระบุว่ามาจากข้อกำหนดในทางกฎหมายกับ "รอยัล ฟิลิปส์" ที่ต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่หลังการแยกตัวภายใน 18 เดือน ทั้งนี้ ชื่อผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะยังคงเป็นแบรนด์ Philips เช่นเดิม
ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งในการเปลี่ยนชื่อครั้งนี้ก็เพื่อวิสัยทัศน์ในการมุ่งสู่ Internet of Things อย่างเต็มตัวด้วยเช่นเดัยวกัน
จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป และการขยายของเมือง ทำให้ต้องการใช้แสงเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องการใช้ไฟอย่างประหยัด พร้อมเชื่อมต่อการใช้แสงสว่างเข้ากับระบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มประโยชน์การใช้งานนอกเหนือไปจากความสว่าง
สำหรับพัฒนาการแสงสว่างในปัจจุบัน LED คุณเฉลิมพงษ์กล่าวว่ากำลังใกล้ถึงจุดอิ่มตัว และในอนาคตโลกกำลังมุ่งสู่การเป็นระบบ Integrated System ซึ่งอัตราการเจริญเติบโตกำลังสูงขึ้น รวมถึงการนำเสนอบริการต่างๆ (Services) โดยเฉพาะตลาดอุตสาหกรรม โดยได้เปิดตัว Signify Internet of Things (Si-Ot) เพื่อสาธิตการนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาใช้ในการควบคุมเรื่องของแสงให้ลงตัวมากขึ้น เช่น
คุณเฉลิมพงษ์กล่าวว่า "เราต้องการเป็นผู้นำในการนำเทรนด์ใหม่ที่เหนือยิ่งกว่า คือ “Light as a new intelligent language” [แสงสว่างในฐานะภาษาใหม่ที่ชาญฉลาด - ผู้แปล] ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ต้องการการเชื่อมต่อและสื่อความหมายได้ โดยเราต้องการเป็นผู้นำในการปลดล็อกศักยภาพที่เหนือกว่าของแสงสว่าง"
ปี 2560 ลงทุนเงินจำนวน 354 ล้านยูโร ไปกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) เรื่อง Internet of Things คิดเป็น 4.8 เปอร์เซ็นต์ของเงินลงทุนทั้งหมด
ซึ่ง Signify ระบุว่าจะยังคงเดินตามค่านิยมในการดำเนินธุรกิจที่ยึดเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเป็นผู้นำแสงสว่างผนวกรวมกับเทคโนโลยี IoT เพื่อทำให้มีคุณภาพชีวิตและโลกที่สดใสและดีกว่าเดิม
"เราจะเปลี่ยนไปจากสิ่งที่ทำในอดีต จากการพูดถึงผลิตภัณฑ์แสงสว่าง สู่การต่อยอดแสงสว่างสู่ Internet of Things (IoT) และนำสู่ Industry Transformation" คุณเฉลิมพงษ์กล่าว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด