“PTG” ท็อปฟอร์มไตรมาสแรกปี 66 กำไร 284 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ 11,255.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องการฟื้นตัวเศรษฐกิจประเทศ การท่องเที่ยวฟื้น หนุนทุกธุรกิจ ทั้ง Oil และ Non-Oil รายได้เติบโต ขณะที่ปริมาณขายน้ำมันและก๊าซ LPG ทำสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่องที่ 1,474 ล้านลิตร และ 151 ล้านลิตร ตามลำดับ
คุณพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เปิดเผยว่า บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 284 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,255.8% จากไตรมาส 4 ปี 2565 ที่มีกำไรสุทธิ 3 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 73.6% เมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 163 ล้านบาท โดยมีรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 50,936 ล้านบาท เติบโต 30.7% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และ 4.0% จากไตรมาสก่อนหน้าหน้า โดยมีปัจจัยหลักจากธุรกิจ Oil ที่รายได้เป็น 47,790 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.6% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และ 3.8% จากไตรมาสก่อนหน้า
“ผลดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวตามการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การเดินทางในประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันในประเทศเพิ่มขึ้น 1.6% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน และหนุนให้ปริมาณขายน้ำมันของบริษัทยังคงสร้างสถิติสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณขายน้ำมันทั้งสิ้น 1,474 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 16.6% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และ 4.7% จากไตรมาสก่อนหน้า”
ทั้งนี้ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil มีรายได้ 3,146 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.6% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และ 6.7% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยการเติบโตหลัก ๆ มาจากธุรกิจก๊าซ LPG ที่มีรายได้ 1,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.1% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน และ 9.5% จากไตรมาสก่อนหน้า มีปัจจัยหลักจากปริมาณการจำหน่ายก๊าซที่ยังคงสร้างสถิติสูงที่สุดต่อเนื่อง โดยมีจำนวนขาย 151 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 42.9% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน และ 8.7% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 12.86 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 32.4% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน และ 0.7% จากไตรมาสก่อนหน้า
ในส่วนของธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยมีรายได้ 263 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.8% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน และ 5.1% จากไตรมาสก่อนหน้า จากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น 61.9% เทียบงวดเดียวกันกับปีก่อน หรือมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 570 สาขา ณ สิ้นไตรมาสแรก และการกลับเข้ามาใช้บริการต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้า PT Max Card และ PT Max Card Plus
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงรักษาความสามารถทำกำไรได้ดีโดยมีกำไรขั้นต้น 3,167 ล้านบาท เติบโต 23.0% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน และ 10.0% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยหลักมาจากธุรกิจ Oil ที่เพิ่มขึ้น 18.5% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน และ 13.6% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 2,531 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทได้รับปัจจัยบวกจากผลงานที่ดีขึ้นของกิจการร่วมค้า ส่งผลให้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้น 53.2% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน และ 162.3% จากไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้งการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย (SG&A) มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับนโยบายของบริษัท ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) มีจำนวน 1,455 ล้านบาท เติบโต 15.2% เทียบงวดเดียวกันปีก่อน และ 24.6% จากไตรมาสก่อนหน้า
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด