SCB CIO คาดสงครามรัสเซีย-ยูเครน แนวโน้มยืดเยื้อ เสี่ยงต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก แนะกลยุทธ์ลงทุนเพิ่มน้ำหนักถือเงินสด | Techsauce

SCB CIO คาดสงครามรัสเซีย-ยูเครน แนวโน้มยืดเยื้อ เสี่ยงต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก แนะกลยุทธ์ลงทุนเพิ่มน้ำหนักถือเงินสด

SCB CIO ประเมินสงครามระหว่างรัสเซีย-และยูเครนยังมีความไม่แน่นอนสูง มีแนวโน้มยืดเยื้อ เป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมีแนวโน้มยืดเยื้อเพิ่มมากขึ้น แต่ธนาคารกลางหลัก Fed และ ECB จะไม่ส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงจนเกินไป ยังคงมุมมองเพิ่มน้ำหนักการถือเงินสด ไม่ซื้อไม่ขายสินทรัพย์เสี่ยง จับจังหวะสะสมหุ้นไทยและเวียดนามเพื่อใช้เป็นหลุมหลบภัยในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง  

SCB CIO ประเมินสงครามระหว่างรัสเซีย-และยูเครนยังมีความไม่แน่นอนสูง มีแนวโน้มยืดเยื้อ เป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงมีแนวโน้มยืดเยื้อเพิ่มมากขึ้น

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถานการณ์ สงครามระหว่างรัสเซีย-และยูเครนยังมีความรุนแรง และ ความไม่แน่นอนสูง สัญญาณล่าสุดมีแนวโน้มยืดเยื้อมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก ที่อาจมีบางประเทศมีความเสี่ยงต่อภาวะ Stagflation มากขึ้น (เศรษฐกิจเติบโตต่ำ แต่เงินเฟ้อและอัตราการว่างงานสูง) จากราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างในการวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ประเมินจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 

  1. การสู้รบมีทั้งทางบก น้ำ อากาศ และ cyber ยูเครนต่อสู้อย่างเข้มข้น โดยได้รับความช่วยเหลือด้านต่างๆ รวมถึงอาวุธจากหลายประเทศในยูโรปและสหรัฐ ในขณะที่รัสเซียมีการขู่ใช้อาวุธนิวเคลียร์  
  2. มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรุนแรงมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อทุกฝ่าย สะท้อนผ่านราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น มาตรคว่ำบาตรต่อภาคการเงินการธนาคารและเศรษฐกิจรัสเซียยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีการขู่ลดการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย ทำให้ราคาพลังงานพุ่งขึ้น และมีความเสี่ยงต่อภาวะ Stagflation สูงขึ้น
  3. การเจรจาที่ผ่านมาเป็นการเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่ SCB  CIO ประเมินว่า ตลาดจะให้น้ำหนักกับการเจรจาของเจ้าหน้าที่ระดับสูง โดยเฉพาะประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศมากกว่า

ทั้งนี้  ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกถดถอย ( Stagflation concern ) ในขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความเสี่ยงเงินเฟ้อสูงและยืดเยื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้มูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั้งส่งออกและนำเข้า ของรัสเซียและยูเครนต่อประเทศเศรษฐกิจหลักจะมีไม่มากนัก แต่ความยืดเยื้อของสงครามและจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ความมั่นใจของผู้บริโภคและนักลงทุนลดลง ราคาพลังงานและเงินเฟ้อที่สูง และภาวะทางการเงินที่ตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะในยุโรป จึงนับเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ความกังวลต่อการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์หลักของรัสเซีย เช่น ปิโตรเลียม ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ข้าวสาลี อลูมิเนียม ทองแดง และ ปุ๋ยเคมี ทำให้ราคาสินค้าดังกล่าวเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง และเป็นความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อด้านพลังงานและอาหาร (energy and food inflation) ในหลายประเทศ ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อมากกว่าที่ธนาคารกลางและตลาดคาดไว้ก่อนหน้านี้

ในระยะถัดไปเราประเมินว่าราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นและมีแนวโน้มยืดเยื้อ จะทำให้เงินเฟ้อสูงจากปัจจัยด้านต้นทุน (cost push inflation) เป็นปัจจัยกังวลหลักของตลาดต่อไป  ซึ่งประเทศในเอเชียอาจได้รับผลกระทบตามไปด้วย เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานสุทธิ ยกเว้น มาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยประเทศไทยนำเข้าพลังงานต่อ GDP สูงที่สุด เงินเฟ้อด้านค่าจ้าง (wage inflation) ยังคงโตต่ำยกเว้นในสหรัฐฯ ส่วนเงินเฟ้อจากอาหาร (food inflation) มีแนวโน้มเร่งตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะในประเทศที่ใช้ข้าวสาลีเป็นหลัก แต่ในเอเชียได้รับผลกระทบน้อยเฉพาะข้าวไทยและเวียดนาม ไม่ได้ปรับตัวสูงมากนัก 

ดร.กำพล กล่าวต่อไปว่า SCB CIO คาดการณ์ว่า ดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะไม่ส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงจนเกินไป เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่คาดการณ์ไว้ ธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะ Fed จะยังคงส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ย แต่ด้วยความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกถดถอย จึงเชื่อว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 25 bps ในการประชุม 15-16 มี.ค. และ รวมทั้งหมด150 bps ในปี 2022 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศพัฒนาแล้วอาจไม่ได้ขยับขึ้นเร็วนัก เนื่องจากตลาดอยู่ในช่วงนักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น (risk-off mode) จากความกังวลประเด็น stagflation จะทำให้อัตราผลตอบแทน (yield curve) มีลักษณะไม่ผันผวน (flattening) มากขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันกับหุ้นในกลุ่มธนาคารในระยะถัดไป ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศ Emerging markets ที่อ่อนไหว (sensitive) ต่อเงินเฟ้อ เช่น บราซิล ตุรกี ยังอยู่ในระดับสูงและมีความเสี่ยงอยู่มากโดยเฉพาะรัสเซีย ในขณะที่ Asian bond yields ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อต่ำกว่า

อย่างไรก็ตาม SCB CIO คงมุมมองเพิ่มน้ำหนักการถือเงินสด ไม่ซื้อไม่ขายสินทรัพย์เสี่ยง จับจังหวะสะสมหุ้นไทยและเวียดนาม และยังคงมุมมองหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้นกู้ High Yield bond ของจีน รวมทั้งพันธบัตรและหุ้นกู้ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย หรือธนาคารในยุโรป ผลกระทบจากประเด็นสงครามต่อเศรษฐกิจเวียดนามและไทย ส่วนใหญ่จะมาจากราคาพลังงานและเงินเฟ้อ แต่เราคาดว่าธนาคารกลางใน 2 ประเทศจะยังคงเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และผลกระทบต่อผลประกอบการน่าจะอยู่ในระดับที่จัดการได้ รวมถึง valuation ของตลาดเริ่มกลับสู่ระดับที่น่าสนใจ

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สะเทือนวงการดนตรี Nvidia เปิดตัว Fugatto AI สร้างเสียงครบวงจรแค่เขียน Prompt

Nvidia ลงสนามเครื่องมือสร้างเสียงด้วย AI เปิดตัว Fugatto โมเดล AI ที่สามารถสร้างสรรค์และปรับแต่งเสียงได้อย่างเหนือชั้น เพียงแค่เขียน prompt พร้อมปฏิวัติอุตสาหกรรมหลากหลาย ตั้งแต่วง...

Responsive image

คืนชีพการบินไทย แผนฟื้นฟูการบินไทยสำเร็จ เตรียมเข้าตลาดหุ้นไตรมาส 2 ปี 68

การบินไทยประกาศความสำเร็จในการปรับโครงสร้างทุน พร้อมแผนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิมและพนักงาน มุ่งคืนสู่ตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาส 2 ปี 2568...

Responsive image

SCB EIC เผยผลกระทบจาก Trump 2.0 ฉุดเศรษฐกิจไทยปี 2568 เผชิญความท้าทายด้านการค้า การผลิต และการลงทุน

ในปี 2568 โลกจะเริ่มเผชิญกับความท้าทายจากผลของนโยบายเศรษฐกิจภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกว่า “Trump 2.0” ซึ่งถือเป็นการกลับมาใหม่ในเวอร์ชันที่มีอำนาจบริหารที่แข...