บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ของปี 2566 จำนวน 11,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของฐานรายได้อย่างแข็งแกร่งและการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 22,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในไตรมาส 2 ของปี 2566 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 30,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ ตลอดจนการขยายตัวของธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค
รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 11,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงการเริ่มฟื้นตัวของค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมทางการเงินและสินเชื่อ ในขณะที่รายได้จากการลงทุนและการค้ามีจำนวน 2,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการปรับมูลค่าของพอร์ตการลงทุนตามราคาตลาดปัจจุบัน
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 17,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่รายได้รวมขยายตัว 14.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ 38.4% ในไตรมาส 2 ของปี 2566 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน
บริษัทฯ ได้ตั้งเงินสำรองในเชิงรุกจำนวน 12,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อรองรับการดำเนินงานของธุรกิจในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มสินเชื่อผู้บริโภคที่ไม่มีหลักประกัน ภายใต้สถานการณ์ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงเปราะบาง มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 170.6%
ขณะที่คุณภาพของสินเชื่อโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ 3.25% ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 3.32% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 และเงินกองทุนรวมตามกฎหมายของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.7%
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานโดยรวมในไตรมาสสองของปี 2566 มีความแข็งแกร่ง โดยมี ROE เพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 10% เป็นครั้งแรกนับจากวิกฤตโควิด บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจตามหลักความระมัดระวังรอบคอบภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน และมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน กลุ่ม SCBX ยังคงมุ่งมั่นในการวางรากฐานในการเติบโตในระยะต่อไป โดยล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ KakaoBank ผู้นำด้านธนาคารดิจิทัลในประเทศเกาหลีใต้ เพื่อร่วมขอใบอนุญาตธนาคารไร้สาขาในประเทศไทย และแพลตฟอร์มโรบินฮู้ดได้เปิดตัวธุรกิจบริการเรียกรถ (Ride Hailing) นอกจากนี้ ความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรก มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม SCBX”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด