คนส่วนใหญ่อาจจะคุ้นชินภาพลักษณะธุรกิจของ SCG เป็นไปในรูปแบบ B2B แต่องค์กรยักษ์ใหญ่ผู้นำตลาดวัสดุก่อสร้างที่มีอายุมากกว่า 100 ปีแห่งนี้ กำลังอยู่ในช่วงการ Transform สู่น่านน้ำ B2C มากขึ้น เพราะเชื่อว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก ล่าสุด SCG ได้เผยแผนธุรกิจในปี 2021 ชี้เทรนด์ด้านความสะอาดและสุขภาวะที่ดี การทำงานจากบ้าน และสิ่งแวดล้อม จะช่วยขับเคลื่อนตลาดวัสดุก่อสร้าง และที่อยู่อาศัย พร้อมประกาศปรับธุรกิจใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนธุรกิจตลอดซัพพลายเชน ด้วยแนวคิด Transformation with Innovation
แผนธุรกิจเชิงรุกที่ทาง SCG มุ่งเน้น ได้แก่ ‘Innovation & Service Solutions’ ‘Digital Transformation’ และ ‘Sustainable Development’ พัฒนานวัตกรรมในสองแกนหลักขนานกันทั้งในแง่ของ Product ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทแต่เดิมอยู่แล้ว ไปจนถึงนวัตกรรมในด้าน Service พัฒนาร้านค้าเชื่อมต่อระบบออนไลน์รูปแบบ SCG HOME Active Omni-Channel เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่เปลี่ยนไป รวมถึงในด้าน Sustainable Development (SD) ตั้งเป้าหมายภายในปี 2564 เพิ่มจำนวนสินค้าที่ได้รับฉลาก SCG Green Choice อีกประมาณ 30%
"คนส่วนใหญ่จะรู้จัก SCG ในรูปแบบธุรกิจ B2B คนทั่วไปรู้ว่าของ SCG ดี แต่ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน เราจะทำการตลาดเชิงลึก แบ่ง Segmentation กลุ่มลูกค้า และสื่อสารการตลาดให้ชัดเจนมากขึ้น"
นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างในปี 2564 คาดการณ์ว่าเทรนด์ที่มาช่วยขับเคลื่อนตลาดวัสดุก่อสร้าง และที่อยู่อาศัยในปีนี้ ได้แก่ เทรนด์ Well-Being ผู้บริโภคยังคงต้องการสินค้า และโซลูชันที่สะอาด ปลอดภัย และมอบสุขภาวะที่ดีในการอยู่อาศัย เทรนด์ Work from Home ทำให้ผู้บริโภคต้องการเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะเข้ามาช่วยให้การทำงานที่บ้านสะดวกสบายยิ่งขึ้น รวมถึงเทรนด์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ผู้บริโภคต้องการสินค้า และโซลูชันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
Innovation & Service Solutions ต่อยอดพัฒนานวัตกรรมสินค้า และโซลูชันที่ตอบโจทย์สุขอนามัย และสุขภาพที่ดีสำหรับผู้บริโภค (Health & Hygiene) โดยปีนี้ลุยเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ อาทิ ‘Smart Building Solution’ นวัตกรรมบริหารระบบอาคาร ด้วยเทคโนโลยี IoT เพื่อช่วยปรับคุณภาพอากาศ รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงาน เพิ่มความหลากหลายของสินค้า ‘สุขภัณฑ์ COTTO Touchless Series’ และ ‘กระเบื้อง COTTO Hygienic Tile’ ที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์เรื่องโควิด การก่อสร้างรวดเร็ว สะอาด ปลอดภัย อาทิ ‘Medical Solution by CPAC BIM’ ‘Bathroom Mobile Unit’ ‘ห้องความดันอากาศบวก (Positive Pressure Room) ที่สร้างด้วย Smart Board Ultra Clean Wall Solution’ ด้านสินค้าที่ตอบโจทย์การประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ ‘Active Air Quality’ ‘Solar Roof Solutions ซึ่งขยายสู่ตลาด Non-Residential’ ขณะเดียวกันได้พัฒนา Smart Living Platform ให้ลูกค้าใช้บริหารจัดการโซลูชันต่างๆ ของเอสซีจีภายในบ้านด้วยตัวเอง ตลอดจนต่อยอดขยายเซอร์วิสโซลูชันใหม่ เปิดตัว BAUEN by SCG (เบาเอ้น บาย เอสซีจี) บริการรีโนเวทครบ จบทุกความต้องการอย่างเป็นทางการ และตอกย้ำจุดแข็งของเซอร์วิสโซลูชันทั้ง Construction Solution และ Living Solution ที่มอบบริการครบวงจรแบบ End to End Service
Digital Transformation ผสานเทคโนโลยีเข้ากับทุกส่วนของธุรกิจ โดยแบ่งเป็น 2 ด้าน ได้แก่ ด้านดิจิทัลสำหรับผู้บริโภค ปรับรูปแบบร้านค้าไปสู่อีคอมเมิร์ซมากขึ้น ต่อยอดการเชื่อมต่อร้านค้าแบบออฟไลน์ และออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีในรูปแบบ SCG HOME Active Omni- Channel รวมถึงนำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง Big Data Analytics และ AI มาวิเคราะห์อินไซต์ผู้บริโภค และนำข้อมูลไปพัฒนาสินค้า และบริการในอนาคต ตลอดจนสร้าง Ecosystem ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเชื่อมโยงผู้รับเหมา ช่าง และพาร์ทเนอร์ด้วยเทคโนโลยี เพื่อมอบบริการที่ดีให้กับเจ้าของบ้านไปพร้อมกัน ด้านดิจิทัลสำหรับการผลิต สานต่อการใช้ Industry 4.0 พร้อมนำระบบการดำเนินงานอัจฉริยะ (Smart Digital Operation) และระบบ Automation มาใช้ในกระบวนการผลิต
Sustainable Development มุ่งสร้างสมดุลด้านสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดีไปพร้อมๆ กับการเติบโตทางธุรกิจตลอดจนเพิ่มคุณค่าอย่างยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งได้นำมาประยุกต์เข้ากับการดำเนินงาน 3 ด้าน คือ Green Product & Service พัฒนาสินค้าและบริการ SCG Green Choice โดยปีนี้จะเพิ่มจำนวนสินค้า SCG Green Choice มากขึ้นประมาณ 30% Green Plant เพิ่มการใช้พลังงานทดแทนภายในโรงงานให้มากขึ้น เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ใช้รถยกไฟฟ้า (EV Forklift) เป็นต้น ด้านการช่วยเหลือสังคม เดินหน้ามอบสิ่งดีๆ คืนสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ได้ร่วมกับร้านผู้แทนจำหน่ายส่งมอบนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์แก่สังคม อาทิ ห้อง Positive Pressure Room ด้วยระบบผนัง Smart Board Ultra Clean Solution นวัตกรรม CPAC BIM Medical Solution และ Bathroom Mobile Unit ซึ่งจะสานต่อการให้นี้อย่างต่อเนื่อง
หัวใจสำคัญในการ Transform ก็คือบุคลากร SCG มุ่งพัฒนาบุคลากร โดยจะมุ่งพัฒนาทักษะที่จำเป็น เช่น Digital Skill, Data Analytics และ Service Excellence Skill ในแง่การสร้างนวัตกรรมที่มีวิสัยทัศน์ของการสร้างนวัตกรรมทั้งภายในองค์กร และภายนรอกองค์กรในรูปแบบ Open Innovation ผนึกพันธมิตรอย่างสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการคิดค้นนวัตกรรมสินค้า และโซลูชันต่างๆ หรือพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อพัฒนาทักษะด้านการดำเนินธุรกิจค้าปลีกบนโลกออนไลน์
เราไม่ได้ทำแค่ New Product ที่ทำแค่ช่วงสั้นๆ แล้วจบไป สิ่งที่เราทำคือ Innovation ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ เหมือนวิ่งมาราธอน
“หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคนี้ คือ ต้องสังเกตและเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และตลาด รู้จักปรับตัว และทำงานด้วยความรวดเร็ว ซึ่งเราเชื่อว่าการปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และหลัก Sustainable Development เข้ามามีบทบาทในทุกมิติ พร้อมตอกย้ำจุดแข็งของโมเดลเซอร์วิสโซลูชัน จะช่วยให้เราสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทั้งกลุ่ม B2B และ B2C มอบความมั่นใจ ความสะดวกสบาย และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้เราจะเดินหน้าสร้าง Ecosystem ทางธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตลอดจนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในรูปแบบ Open Innovation เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทั้งนี้จากแผนการดำเนินงานในปีนี้เราตั้งเป้าหมายว่าจะเติบโตในทิศทางเดียวกับตลาด และเพิ่มกำไรจากการปรับปรุงประสิทธิภาพ และต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง” นายนิธิ กล่าวทิ้งท้าย
ปัจจุบันสัดส่วนธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของเราคือ B2B2C รองลงมาคือ B2B จากนั้นคือ B2C ซึ่งเราเชื่อว่า B2C คือ Growth Potential
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด