ภัยธรรมชาติและสถานการณ์ตึกถล่มที่เกิดขึ้น เชื่อว่าส่งผลให้คนไทยจำนวนไม่น้อยมีมุมมองต่อการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยเปลี่ยนไป สอดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าว เอสซีจี (SCG) นำเสนอนวัตกรรมใหม่ใน งานสถาปนิก’68 ได้อย่างตรงจุด นั่นคือ สินค้าคุณภาพและนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่บริษัทพัฒนาขึ้น เพื่อให้ทุกคนใช้ชีวิตได้อย่าง ‘มั่นใจ ปลอดภัย คุ้มค่า สะดวก และรักษ์โลก’
เทคซอสจะพาไปสำรวจ 5 กลุ่มนวัตกรรมที่ SCG คิดและสร้างสรรค์เพื่อการอยู่อาศัยของคนยุคใหม่ ที่นอกจากต้องการความมั่นใจ ปลอดภัย คุ้มค่า สะดวก และรักษ์โลกแล้ว ยังให้ความสำคัญกับดีไซน์ที่สวยงามและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมด้วย
รวมโซลูชันยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นเพื่อวันนี้และอนาคตที่ยั่งยืน ซึ่ง SCG นำมาอวดโฉมในงานสถาปนิก’68 (Architect Expo 2025) ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2025
นวัตกรรมกลุ่มแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมเป็นกลุ่มสินค้าประเภท ‘หลังคา’ ที่ใช้วัสดุรีไซเคิล ซึ่งทีมงาน SCG อธิบายว่า บริษัททำโปรเจกต์ ‘Waste to Construction’ หรือ การนำวัสดุเหลือใช้มาสร้างวัสดุตกแต่งที่มีความแข็งแรงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น แก้วใสที่ใช้แล้ว เม็ดแก้ว เส้นใยแก้ว ที่เหลือทิ้งจากชุมชนและโรงงาน มาเป็นส่วนประกอบหนึ่งของวัสดุก่อสร้าง เช่น หลังคา กระเบื้อง ทำให้สินค้าที่ได้มีความแข็งแรงมากกว่าเดิม ทั้งยังได้ความสวยงาม ปลอดภัย และรักษ์โลก
ในภาคการผลิต CPAC ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างในเครือ SCG เช่น คอนกรีตคาร์บอนต่ำ ให้ความสำคัญเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เน้นเพิ่มการใช้พลังงานสะอาด ร่วมกับลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิต และที่สำคัญ ไม่มีการใช้แร่ใยหินในขั้นตอนการผลิต 100% สินค้าที่ผลิตออกสู่ตลาดจึงปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม ทำให้ CPAC ได้เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทยที่ได้รับ ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Reduction of Product Label) ฉลากที่แสดงถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตลอดทาง ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่ง การนำไปใช้ และการกำจัด
หลังคาคาร์บอนต่ำรุ่น Excella โชว์งานดีไซน์ที่ถอดแบบจากธรรมชาติ
สินค้ากลุ่มหลังคาและเทคโนโลยีไฮไลต์ของ SCG ที่ยกมาอวดโฉมในงานสถาปนิกปีนี้ มีทั้ง หลังคาลอนคู่เอสซีจี ที่ได้รับฉลาก SCG Green Choice, หลังคาคาร์บอนต่ำรุ่น Excella, Prestige ที่สวยงามและทนทานกว่าเดิม เทคโนโลยี X-Shield ที่เพิ่มพลังยึดเกาะชั้นสีและชั้นเคลือบทำให้สีติดทนนานขึ้น 3 เท่า รวมถึง Double Coating นวัตกรรมการเคลือบสี 2 ชั้นบนผิวหลังคาคอนกรีตด้วยน้ำยาสูตรพิเศษ ทำให้สีติดทนนานแม้ใช้งานหลังคาในเมืองร้อน แดดแรง
และหากนับตั้งแต่ปี 2010 สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของ SCG มีการใช้งานในบ้านมากกว่า 1 ล้านหลัง ลดการใช้ไฟลง 935 กิโลวัตต์ ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลง 420 ล้านกิโล ซึ่งเทียบได้กับการปลูกต้นไม้ 28 ล้านต้น!
‘Turn Waste to Value’ เป็นแนวคิดสินค้าในโซน ‘DECAAR by SCG’ ที่ SCG นำวัสดุเหลือใช้มาสร้างคุณค่าใหม่ โดยร่วมกับองค์กรชั้นนำอย่าง ปตท., แสนสิริ, HomePro, CPF และ บริษัทออกแบบ A49 นำเอาเศษวัสดุจากอุตสาหกรรมและชุมชนต่างๆ มาต่อยอดและผลิตเป็นนวัตกรรมวัสดุตกแต่งภูมิทัศน์ภายนอก (Outdoor living Solution) และฟาซาด (Facade Solution) ซึ่งมีดีไซน์สวยงาม แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้คุ้มค่า และแน่นอนว่า ผลิตจากวัสดุรักษ์โลก อาทิ กระเบื้องคอนกรีตปูพื้น รุ่น Serena Blink กับวัสดุตกแต่งผนัง Modeena Coff, กระเบื้องคอนกรีตปูพื้น รุ่นคอมฟอร์ท ซึ่งมีที่มาดังนี้
ด้วยความที่ร้าน Café Amazon มีกากกาแฟและแพ็กเกจจิงกาแฟเหลือทิ้งจำนวนมาก PTTOR และ Café Amazon จึงร่วมกับ SCG หาแนวทางสร้างคุณค่าใหม่ให้วัสดุเหลือใช้ โดย SCG นำฟอยล์แพ็กเกจจิงกาแฟและเศษแก้วจากชุมชน มาพัฒนาเป็น กระเบื้องคอนกรีตปูพื้น รุ่น Serena Blink ส่วนกากกาแฟก็นำมาพัฒนาเป็น วัสดุตกแต่งผนัง Modeena Coff ซึ่งมีดีไซน์สวยงาม ทนทาน และนำไปใช้ตกแต่ง ปรับโฉม Café Amazon แล้วในบางสาขา
เนื่องจาก CPF มีเปลือกไข่ไก่เหลือทิ้งจำนวนมาก จึง Co-Produce กับ SCG เพื่อนำขยะเปลือกไข่มาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และจากความร่วมมือทำให้พบว่า เปลือกไข่ไก่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน เมื่อนำมาพัฒนาเป็น กระเบื้องคอนกรีตปูพื้น รุ่นคอมฟอร์ท ที่มีส่วนผสมของ ‘เปลือกไข่ไก่บดอัด’ จาก CPF และ ‘วัสดุรีไซเคิล’ จากโรงงานของ SCG สระบุรี การใช้เปลือกไข่เป็นวัสดุสะท้อนความร้อนที่ผิวหน้าคอนกรีต กอปรกับการใช้เทคโนโลยี HeatSync ทำให้ได้กระเบื้องที่มีคุณสมบัติดูดซับความร้อนช้า แต่สามารถระบายความร้อนได้ดีกว่ากระเบื้องทั่วไปด้วยส่วนต่างประมาณ 5 องศาเซลเซียส
ในส่วนของ ONNEX by SCG Smart Living นำเสนอนวัตกรรมเพื่อบ้านและอาคารพร้อมกับโซลูชันใหม่เพื่อการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ และเน้นว่าต้องอยู่สบาย โดยสินค้าและบริการหลากหลาย อาทิ SCG Solar Roof ที่มาพร้อม ArcBox, Active Air Quality, Active Monitoring System, นวัตกรรมกรีน ที่เข้ามายกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยให้สะดวกและสบายยิ่งขึ้น
SCG Solar Roof บริการครบวงจรด้านหลังคาโซลาร์เซลล์ ตัวช่วยสำคัญในเรื่องการประหยัดค่าไฟได้สูงสุดถึง 60% โดย SCG นำเสนอบริการแบบมัดรวมเป็นโซลูชันหลากหลายแพ็กเกจ ทั้งสำหรับบ้านและอาคาร และพร้อมให้บริการติดตั้งและดูแลอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญแบบ One Stop Service สูงสุด 30 ปี
เนื่องจากโซลาร์เป็นสินค้าที่ต้องติดตั้งบนหลังคาและใช้งานต่อเนื่องได้หลายสิบปี SCG จึงพัฒนา 1) Solar Fix นวัตกรรมตัวยึดโซลาร์ให้ติดกับโครงหลังคา ซึ่งทนทานต่อทุกสภาพอากาศ โดยสามารถทนความเร็วลมได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือระดับพายุดีเปรสชั่น 2) Solar Hook แผ่นสแตนเลสที่ออกแบบให้มีช่องว่างระหว่างโซลาร์และกระเบื้องหลังคาเพียง 3 มิลลิเมตร เพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้ำและช่วยให้ระบายอากาศได้ดี
นอกจากนี้ การใช้โซลาร์จะมีการต่อสาย DC โยงสายผลิตไฟฟ้ากลับเข้าไปในอาคาร ในระหว่างนี้อาจเกิดกระบวนการที่เรียกว่า ARK หรือ ประกายไฟที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ได้ SCG ให้ความสำคัญในด้านมาตรฐานความปลอดภัยอย่างยิ่งยวด จึงพัฒนา ArcBox กล่องเซรามิกเปิดปิดได้เพื่อเก็บข้อต่อสายไฟกลับเข้าไปในอาคาร ซึ่งทนความร้อนได้มากถึง 1,000 องศาเซลเซียส และหากเกิดประกายหรือเกิดการลุกไหม้ ไฟก็จะถูกบล็อกให้อยู่แต่ใน ArcBox จึงไม่ส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้า และไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย
SCG Active Air Quality เป็นนวัตกรรมแก้ไขปัญหาคุณภาพอากาศด้วยการเติมอากาศดีเข้าสู่ระบบที่มีการกรองถึง 6 ชั้น เพื่อบล็อกสารพัดฝุ่น รวมถึง PM2.5 และเชื้อโรคต่างๆ ทั้งยังแลกเปลี่ยนอากาศให้เย็นลงก่อนผู้อยู่อาศัยเข้าสู่ตัวบ้านได้ และหากระบบตรวจจับว่ามีคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่ง เครื่องก็จะเพิ่มออกซิเจนเข้าไปในตัวบ้าน ทำให้อากาศในบ้านสะอาดและเย็นสบาย นอกจากนี้ยังออกแบบมาให้มีดีไซน์ที่เรียบง่าย เพื่อให้เข้ากับบ้านหรืออาคารได้หลากสไตล์ พร้อมตอบโจทย์เรื่อง Well-being
Active Monitoring System ระบบตรวจสอบการทำงานของไฟฟ้าที่มี AI ตรวจจับความผิดปกติของการทำงานระบบต่างๆ ทุก 5 นาที โดยระบบนี้สามารถแจ้งเตือนความผิดปกติให้ผู้อยู่อาศัยรับรู้ และแจ้งข้อมูลไปยังทีมงาน SCG หากมีปัญหาต้องเข้ามาแก้ไข
ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนากระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ และคอนกรีตคาร์บอนต่ำ เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ จึงพัฒนา นวัตกรรมกรีน อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยนำเสนอโซลูชันนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างครบวงจรที่ได้ทั้งด้านดีไซน์และฟังก์ชันใช้งาน โดยมุ่งส่งต่อ ‘ความมั่นใจ ปลอดภัย คุ้มค่า สะดวก และรักษ์โลก’ ไปยังเจ้าของบ้านและช่างก่อสร้าง
แบรนด์ COTTO เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มสินค้าและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงเพิ่มบทบาทใหม่และสร้างการจดจำให้คนไทยเห็นว่า COTTO มีมากกว่ากระเบื้อง สุขภัณฑ์ และก๊อกน้ำ โดยสิ่งที่ COTTO นำเสนอในงานสถาปนิก คือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากดินและน้ำดินสูตรพิเศษ ซึ่งนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์สวยเรียบหรูและคงทน ภายใต้คอนเซ็ปต์ COTTO Reimagine Living Refinement
ในส่วนนี้ Cotto ยกให้ ‘ดิน’ เป็นตัวแทนในการเล่าเรื่องและนำเสนอผลิตภัณฑ์อย่างโดยบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของกระบวนการผลิตสินค้า ที่ตั้งต้นตั้งแต่การนำดินจากโรงงาน SCG ในสระบุรีมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ และในฐานะบริษัทผู้ผลิตที่หมุนเวียนทรัพยากรธรรมชาติมาใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด จึงสัมพันธ์กับแนวคิดที่ต้องการลดการใช้ทรัพยากรลงให้มากที่สุด ทั้งนี้กระเบื้องและสุขภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ที่ทุกคนได้เห็นและได้สัมผัสในงานสถาปนิก’68 เช่น
COTTO ECO Collection กระเบื้องเซรามิกรักษ์โลกที่ใช้วัสดุรีไซเคิลในกระบวนการผลิต ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติใหม่ถึง 80%
สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ ที่ผสานแนวคิดรักษ์โลกและสุขภาวะที่ดี ผ่านการออกแบบให้ทุกการใช้งานลดการใช้น้ำเหลือเพียง 4.8 ลิตร จึงลดค่าน้ำและลดการใช้ทรัพยากรโลกไปในตัว
อ่างล้างหน้า QUINTA Basin มีสีสันต่างกันไปตามสีของดินและน้ำดินที่นำมาใช้
นวัตกรรมการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจากดิน อาทิ แผ่นดินเหนียวรักษ์โลก Clay Decor ซึ่งสามารถใช้ประดับตกแต่งภายในบ้านได้, อ่างล้างหน้า QUINTA Basin ที่ใช้น้ำดิน Qrystalite สูตรพิเศษจาก COTTO ทำให้ได้อ่างล้างหน้าที่บางลงและผสานกันเป็นเนื้อเดียว ให้ความรู้สึกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เรียบหรู ซึ่งมาคู่กับความคงทน นอกจากนี้ กระบวนการผลิตที่ใช้วัสดุซึ่งทำจากดินน้อยลง ยังลดการปล่อยคาร์บอนได้ตั้งแต่ต้นทางการผลิต ทำให้ผลิตภัณฑ์นี้เป็นสินค้ากรีนและเป็นอีกทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้บริโภค
หลังจาก CPAC ธุรกิจผลิตคอนกรีตในเครือเอสซีจีที่ให้บริการโซลูชันก่อสร้างครบวงจร และ SB&M บริษัทญี่ปุ่นที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่าง SHO-BOND Holdings Co., Ltd. และ Mitsui & Co., Ltd.) จัดตั้งบริษัทร่วมทุน CPAC SB&M Lifetime Solution ขึ้นในปี 2020 CPAC SB&M ก็นำเทคโนโลยีการตรวจสอบซ่อมแซมและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่องานซ่อมแซมโครงสร้างคอนกรีตที่เสียหายหรือแตกร้าวจากเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น มาให้บริการงานโครงสร้างและซ่อมแซมอาคารกับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในประเทศไทยมาแล้วหลายปี
นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทร่วมทุน CPAC SB&M ให้บริการซ่อมแซมงานโครงสร้างมากกว่า 500 แห่ง
งานวิศวกรรมโครงสร้างเป็นงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน CPAC SB&M จึงให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาเพื่อยืดอายุโครงสร้างระดับโลกจากญี่ปุ่น ลงพื้นที่ตรวจสอบอาคารสถานที่ก่อนซ่อมแซมแบบ Case by Case ทั้งนี้มีบริการให้เลือก 5 ด้าน ได้แก่
สำหรับวัสดุซ่อมแซมและช่วยดูแลรักษาที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพสูง ทีมงาน CPAC SB&M เปิดเผยว่า มีหลายนวัตกรรมที่มีการงานกันมากในญี่ปุ่นและนำมาใช้ที่ไทย เช่น ผลิตภัณฑ์แผ่นลามิเนต ที่ใช้ติดใต้สะพาน ทางลอดทางด่วน เพื่อลดการร่วงหล่นของคอนกรีด ลดการสะสมของคราบต่างๆ และช่วยยืดอายุการใช้งานสะพานคอนกรีตให้นานขึ้น น้ำยาชนิดพิเศษ ที่ใช้เคลือบสิ่งก่อสร้างที่เป็นคอนกรีตเปลือย เช่น ทางด่วน ช่วยป้องกันการดูดซึมน้ำ ทำให้คอนกรีตแข็งแกร่งมากขึ้น และยังมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดตัวเอง (Self Cleaning) จากสิ่งสกปรกที่อยู่ในอากาศได้ และ ระบบ Injection ซ่อมรอยร้าว นวัตกรรมจากญี่ปุ่นที่พัฒนาขึ้นเพื่อซ่อมแซมตึกที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยมี 2 ส่วนประกอบ คือ กระบอกอัดน้ำยา Epoxy และตัวเชื่อมต่อ (Connector)
วิธีใช้งาน คือ อัดฉีดน้ำยาแรงดันต่ำจากกระบอกเข้าไปในโครงสร้างคอนกรีตที่ร้าวหรือต้องการซ่อมแซม เช่น เสา คาน ข้อสำคัญคือ ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อให้น้ำยาดังกล่าวแทรกซึมเข้าไปเชื่อมรอยแตกร้าวได้ตรงจุด และสามารถซึมลึกถึง 20 เซนติเมตร จึงช่วยยืดอายุโครงสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ให้แข็งแรงและใช้งานได้ยาวนานต่อไป
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด