SCG แถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2562 กำไรลดลงหลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า เผยเดินหน้านวัตกรรมสินค้า-บริการที่มีมูลค่าเพิ่ม และตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน พร้อมส่งมอบโซลูชั่นครบวงจรให้ลูกค้า รวมทั้งเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญที่สร้างมูลค่าให้เป็นไปตามแผน เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาวและรักษาเสถียรภาพทางการเงินให้ธุรกิจ
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG เปิดเผยว่า ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ปี 2562 มีรายได้จากการขาย 109,094 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากรายได้ของธุรกิจหลักลดลง หลังสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ และการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ
นอกจากนี้ยังมีรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานที่เข้ามากระทบส่งผลให้เอสซีจีมีกำไรลดลง ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2562 มีรายได้จากการขาย 221,473 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจเคมิคอลส์ ได้รับผลกระทบของสงครามการค้าและค่าเงินบาทแข็งค่าที่ส่งผลให้ส่วนต่างราคาสินค้าปรับตัวลดลง รวมทั้งการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ได้รับผลกระทบจากการซบเซาของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในช่วงฤดูฝน โดยธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยช่วงครึ่งปีแรกขยายตัว 3% จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐบาล แต่ธุรกิจก่อสร้างหดตัว ตามการชะลอของตลาดอสังหาริมทรัพย์
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ได้รับผลกระทบจากความต้องการซื้อที่ลดลงในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และกระดาษประเภทอื่น ๆ
แม้ผลประกอบการของเอสซีจีในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2562 โดยเฉพาะธุรกิจเคมิคอลส์ จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ประกอบกับรายการปรับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานในไตรมาสที่ 2 และการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ แต่เอสซีจียังคงเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม หรือ HVA ควบคู่กับการตอบโจทย์แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
พร้อมส่งมอบโซลูชั่นแบบครบวงจรให้ลูกค้า รวมทั้งเร่งรัดโครงการลงทุนสำคัญที่ช่วยสร้างมูลค่าให้ธุรกิจให้เป็นไปตามแผน ภายใต้ 2 กลยุทธ์ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก ทั้งการบริหารจัดการการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว (Long-term Growth) และการสร้างเสถียรภาพทางการเงิน (Stability)
ธุรกิจเคมิคอลส์ จะเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยอาศัยจุดแข็งของเอสซีจีด้านการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้าเคมีภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การพัฒนาเม็ดพลาสติกพอลิเอทิลีนเกรดพิเศษด้วย SMX Technology™
สำหรับผู้แปรรูปพลาสติกและเจ้าของแบรนด์สินค้าที่ต้องการเม็ดพลาสติกคุณภาพสูง สามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกในผลิตภัณฑ์ แต่ยังคงความแข็งแรงทนทานได้ดี ตลอดจนการพัฒนาสินค้าเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ สำหรับบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ทั้งหมด ซึ่งล่าสุดได้เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนา SCG Advanced Materials Laboratory ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาต้นแบบสินค้าในกลุ่ม Functional Materials
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ซึ่งยังคงมีการเติบโตที่ดีจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องของโครงการก่อสร้างของภาครัฐในไทย เช่นเดียวกับการเติบโตในภูมิภาคอาเซียนทุกประเทศ ยกเว้นอินโดนีเซียซึ่งมีความต้องการภายในประเทศชะลอตัว เอสซีจีจึงเน้นรุกตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพและมูลค่าของตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างธุรกิจค้าปลีก
เช่น การเปิดศูนย์ “SCG Home บุญถาวร” จำหน่ายสินค้าวัสดุตกแต่งที่เน้นครัวและห้องน้ำ ที่จังหวัดนครราชสีมา กระบี่ และนครศรีธรรมราช รวมถึงการขยายคลังสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิของธุรกิจโลจิสติกส์ หรือการพัฒนาโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบวงจรยิ่งขึ้น เช่น โซลูชั่นระบบหลังคาที่ช่วยประหยัดพลังงาน ไม่รั่วซึมหรือสีซีดจาง และอยู่สบาย เป็นต้น
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ซึ่งมีการเติบโตที่โดดเด่นและมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาคอาเซียน รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ทั้งการเติบโตของธุรกิจ e-commerce และพฤติกรรมการบริโภคอาหารบริการด่วน เอสซีจีจึงเน้นการสร้างการเติบโตให้ธุรกิจมากยิ่งขึ้น ด้วยการขยายกำลังการผลิตเพิ่มเติมทั้งโรงงาน UPPC ในฟิลิปปินส์ และโรงงาน BATICO ในเวียดนาม รวมทั้งการซื้อหุ้น Fajar ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่ของอินโดนีเซีย
เอสซีจีคำนึงถึงการบริหารสภาพคล่องของธุรกิจด้วยการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 2562 เอสซีจีมีเงินสดและเงินสดภายใต้การบริหาร (cash & cash under management) 42,573 ล้านบาท สอดคล้องกับแผนการลงทุนและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังไม่แน่นอน รวมทั้งการทบทวนโครงการลงทุน
โดยเน้นโครงการที่สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้รวดเร็ว เช่น การซื้อหุ้น Fajar ซึ่งจะสามารถรวมผลการดำเนินงานเข้ามาในธุรกิจแพคเกจจิ้งของเอสซีจีได้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 นี้ ส่วนโครงการลงทุนสำคัญที่ช่วยสร้างมูลค่าให้ธุรกิจที่ได้ลงทุนไปแล้ว อย่างโครงการปิโตรเคมีครบวงจรในเวียดนามหรือ LSP ก็ได้เร่งดำเนินการให้สำเร็จตามแผน
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ด้วยการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในโรงงาน อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในโรงงาน โดยสามารถจ่ายไฟฟ้าได้แล้ว 77 เมกะวัตต์ ทำให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าจากภายนอก ช่วยให้ประหยัดได้ 350 ล้านบาทต่อปี และการเปลี่ยนของเสียให้เป็นพลังงาน (Waste to energy)
เช่น การผลิตไฟฟ้าจากของเสียในการผลิตกระดาษ โดยมีกำลังการผลิต 9.6 เมกะวัตต์ ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยี ทั้งการสร้างความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และการสร้างสตาร์ทอัพในองค์กร รวมทั้งการสร้างความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงลึก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เอสซีจียังเน้นการขยายโอกาสส่งออกตามทิศทางของตลาดโลก เช่น ธุรกิจแพคเกจจิ้งที่ส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังจีนและกลุ่มประเทศในอาเซียนเพิ่มขึ้น หรือธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ส่งออกสินค้ากลุ่มฝ้าและผนังไปจำหน่ายในเกาหลีใต้ ก่อนมีแผนจะขยายตลาดไปยังโซนยุโรปเพิ่มเติมอีกด้วย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด