
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่โตต่ำเพียง 2% สวนทางกับอาเซียน SCG ประกาศปรับทิศทางครั้งใหญ่ โดยปักธง ‘เวียดนาม’ เป็นฐานทัพสำคัญทั้งในฐานะตลาดที่กำลังเติบโตและฐานการผลิตส่งออกแห่งใหม่ ชี้เศรษฐกิจเวียดนามโตแรง 7-8% ทำให้มีแต้มต่อด้านต้นทุนและข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่เหนือกว่าไทย
คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ยอมรับว่าเศรษฐกิจโลกและไทยยังจมอยู่ในมรสุม ทั้งจากสงครามการค้า การกีดกันทางการค้าและเงินบาทที่แข็งค่า 5% สูงสุดในรอบ 4 ปี ซึ่งกระทบการส่งออกและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และยังให้ภาพอนาคตว่าในไตรมาส 4 ไปถึงไตรมาส 1 ปีหน้า ยังมองไม่สดใสดูแล้วเหนื่อย โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยที่ ‘เหนื่อย ค่อนข้างเหนื่อย’ เพราะการท่องเที่ยวไม่ฟื้นตัวและการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าอาจทำให้เกิดช่องว่างในการใช้จ่ายภาครัฐปีหน้า ดังนั้น SCG จึงต้องหันไปบุกตลาดอาเซียนที่ยังโตดีอย่างฟิลิปปินส์ มาเลเซีย โดยเฉพาะเวียดนาม อย่างไรก็ตามคุณธรรมศักดิ์ยืนยันว่า SCG มั่นใจว่า ‘เอาอยู่แน่นอน’ ด้วยเกราะป้องกันหรือกลยุทธ์ที่สร้างมาตลอดทั้งปี
คุณธรรมศักดิ์ย้ำว่าที่การเงินของบริษัทยังแข็งแกร่งได้ แม้ว่ารายได้จะลดลงก็เพราะมีภูมิคุ้มกันที่ถูกทาง ซึ่งภูมิคุ้มกันที่ว่านี้ก็คือกลยุทธ์หลัก 4 ข้อที่ทำมาตลอด
รักษาวินัยทางการเงินต่อเนื่อง
นี่คือหัวใจสำคัญ ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา SCG รัดเข็มขัดอย่างจริงจัง จนสามารถ ลดหนี้สินสุทธิลงได้ถึง 32,226 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนได้ 21,571 ล้านบาท ทำให้มีเงินสดในมือ ณ สิ้นไตรมาส 3 สูงถึง 50,662 ล้านบาท
รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน
ไม่ใช่แค่ประหยัด แต่ต้อทำน้อยได้มาก ด้วยการนำ AI และหุ่นยนต์มาใช้จริงจัง เช่น ในธุรกิจเดคคอร์ที่ใช้หุ่นยนต์ตรวจคุณภาพสินค้า ลดต้นทุนได้กว่า 20% ต่อปี รวมถึงการ ‘รวมศูนย์การผลิต’ ในอาเซียน เช่น ควบรวมไลน์ผลิตกระเบื้องหลังคา เพื่อลดต้นทุนซ้ำซ้อน
รุกตลาดเวียดนาม
อย่างที่กล่าวไปว่าเมื่อตลาดไทย ซึ่งเป็น 50% ของยอดขายโตช้า SCG จึงต้องไปโตในตลาดที่โตเร็วอย่างเวียดนาม ซึ่งโตถึง 7-8% โดยใช้เป็นทั้งฐานการผลิตและฐานส่งออกไปยังอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป โดยอาศัยแต้มต่อด้าน FTA
ปรับพอร์ตสินค้าสู้เศรษฐกิจฝืด
SCG ขยายกลุ่มสินค้า ‘Smart Value’ เพื่อตอบโจทย์คนประหยัดในยุคนี้ ควบคู่ไปกับการเร่งพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากรีน เช่น ปูนคาร์บอนต่ำ Generation 3 และเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing)
ในไตรมาส 3 ปี 2568 SCG มีรายได้จากการขาย 121,793 ล้านบาท (ลดลง 5% YoY) และขาดทุนสุทธิ 669 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขขาดทุนนี้ ไม่ใช่การขาดทุนจากการดำเนินงาน
คุณธรรมศักดิ์อธิบายว่านี่เป็นผลกระทบทางบัญชี 2 รายการหลัก คือ 1. การปรับโครงสร้างธุรกิจ และ 2. การขาดทุนจากการตีมูลค่าสินค้าคงเหลือ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC) ที่โรงงาน LSP ในเวียดนาม เพิ่งเริ่มเดินเครื่อง จึงต้องสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้น หากตัดรายการทางบัญชีเหล่านี้ออกไป SCG จะมีกำไรจากการดำเนินงานจริง 774 ล้านบาท
ตัวเลขที่พิสูจน์ความแข็งแกร่งคือ EBITDA ในไตรมาส 3 ที่ทำได้ถึง 14,191 ล้านบาท และเมื่อรวม 9 เดือนของปี 2568 SCG มีกระแสเงินสดสูงถึง 44,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน
เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี)
ขาดทุน 3,999 ล้านบาท เพราะส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์ทั่วโลกยังแย่ โดยทาง SCGC ยอมรับตรงๆ ว่า Q3 ‘ท้าทายมากจริงๆ’ มาร์จิ้นมาร์จิ้นแคบลงมาก โดยเฉพาะส่วนต่างราคา PP ที่ดิ่งลง 60 เหรียญ/ตัน เนื่องจาก "ราคาโพรเพน" (วัตถุดิบ) ปรับตัวลดลงเร็ว ทำให้คู่แข่งในจีน (สาย PDH) ได้เปรียบด้านต้นทุน แต่ SCG มี ข้อได้เปรียบสำคัญ คือโรงงานใหม่ LSP ที่เวียดนาม ซึ่งถูกออกแบบให้ยืดหยุ่นสูงมาก (ใช้โพรเพนได้ 70% เทียบกับโรงไทยที่ใช้ได้ 20%) เมื่อราคาโพรเพนถูก SCG จึง ปรับเปลี่ยนการผลิต ที่ LSP ให้หันมาใช้โพรเพนราคาถูกเต็มที่ทันที ทำให้มีต้นทุนที่ดีกว่าคู่แข่งที่ใช้แต่นาฟทา ผลคือ SCG ได้รับผลกระทบน้อยกว่าคู่แข่ง และยังรักษากำลังการผลิตได้สูงถึง 85-90%
ธุรกิจซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์
ได้กลายเป็น "พระเอก" ของไตรมาส ทำกำไรได้ 1,583 ล้านบาท โดยทางธุรกิจซีเมนต์ฯ เล่าว่า แม้ตลาดก่อสร้างไทยจะ "ทรงตัว" ไปได้เพราะงานภาครัฐและนิคมฯ แต่ตลาดที่กำลังบูมสุดๆ คือ "ตลาดเวียดนาม ที่โตกระฉูด 10%" เพราะรัฐบาลเวียดนามอัดฉีดเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหนักมาก ทั้งถนน ไฮเวย์ สนามบิน ธุรกิจจึงได้อานิสงส์เต็มๆ ควบคู่กับการลดต้นทุนและขยายตลาดปูนคาร์บอนต่ำ
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (เอสซีจีพี)
กำไร 953 ล้านบาท ตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่เริ่มสต็อกของรับเทศกาลปลายปี
เอสซีจี เดคคอร์เดคคอร์
เอสซีจี เดคคอร์ ทำกำไรไป 305 ล้านบาท ผลงานนี้มาจากการ คุมต้นทุนการผลิตได้อยู่หมัด ประกอบกับการหันไปเน้นสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และสินค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยมี PRIME เวียดนาม เป็นฐานการผลิตสำคัญสำหรับส่งออกไปทั่วอาเซียน
เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล
ธุรกิจนี้ทำกำไรได้ 60 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเร่งลดต้นทุน ทั้งผ่านการนำ AI และระบบอัตโนมัติมาใช้ รวมถึงการบริหารจัดการการใช้วัตถุดิบ
คุณธรรมศักดิ์ สรุปปิดท้ายว่าแม้ไตรมาส 4 และปีหน้าจะยังเหนื่อยและท้าทายมาก แต่ SCG เชื่อมั่นว่ามาถูกทางแล้ว โดยเฉพาะการใช้ เวียดนามเป็น 'ดาวรุ่ง' และฐานทัพแห่งอนาคต ที่จะช่วยผลักดันการเติบโตของบริษัทในวันที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัว
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด