
บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD ประกาศกำไรไตรมาส 3 ปี 2568 ได้ 305 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 37% จากไตรมาสก่อนหน้า ถึงแม้ว่ายอดขายจะโดนกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ
คุณนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD บอกว่า ไตรมาส 3 ทำ EBITDA ได้ 902 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 305 ล้านบาท บริษัทบอกว่านี่เป็นอัตรากำไรที่ดีที่สุดตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มา ส่วนผลงาน 9 เดือนแรก ทำ EBITDA ได้ 2,513 ล้านบาท และกำไร 744 ล้านบาท
ซึ่งก็ได้ยอมรับตรงๆ ว่า ตลาดวัสดุก่อสร้างยังเจอปัญหาหนัก ทั้งเศรษฐกิจไม่ดีและคู่แข่งเยอะ แต่บริษัทก็ยังรักษาตัวเลขกำไรไว้ได้ เพราะเน้นการคุมต้นทุนและปรับกลยุทธ์ตามแนวทาง “4x4 Strategy” และอธิบายเพิ่มว่าแม้กำไรเมื่อเทียบกับปีก่อนจะดู "ทรงตัว" แต่ก็มีปัจจัยเรื่อง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าเข้ามากดดัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรที่แปลงค่ามาจากต่างประเทศราว 10%

ด้านกลยุทธ์การผลิตและการขาย SCGD ใช้ โรงงานในเวียดนาม (PRIME) เป็นฐานการผลิตสำคัญ เพื่อรองรับตลาดอาเซียน โดยมุ่งเน้นการควบคุมต้นทุนการผลิตให้แข่งขันได้ ส่งผลให้การส่งออกกระเบื้องจากเวียดนามในไตรมาส 3 อยู่ที่ 2.2 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อน
นอกจากนี้ยัง ขยายกำลังผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน เพื่อเจาะตลาดระดับพรีเมียม ทำยอดขายได้ 3.6 ล้านตารางเมตรในไตรมาสเดียว
ในประเทศไทย เร่งขยายพอร์ตสินค้านอกกลุ่มธุรกิจหลัก เช่น ประตูและหน้าต่าง มียอดขายเติบโต 50% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ เจาะตลาดเพื่อเพิ่มยอดขายทุกเซกเมนต์ ผ่านสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ซึ่งสัดส่วนการขายสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) ก็ขยับขึ้นมาเป็น 41% ของรายได้รวม โดยเน้นสินค้าที่มีฟังก์ชัน เช่น กระเบื้องยับยั้งเชื้อโรค สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ และผลิตภัณฑ์รักษ์สิ่งแวดล้อม
ในไตรมาส 3 บริษัทระบุว่าได้ลดต้นทุนหลายทางพร้อมกัน
นอกจากนี้ คุณนายสิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน SCGD กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจสุขภัณฑ์ในต่างประเทศยังเติบโตดี โดยเพิ่มผู้แทนจำหน่ายเป็น 181 ราย มียอดขายรวม 372 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรก ขณะที่วัสดุตกแต่งพื้นผิว SPC (Stone Plastic Composite) ซึ่งผลิตในประเทศแทนการนำเข้า มียอดขายเพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อน
ด้านฐานะการเงิน บริษัทมีสินทรัพย์รวม 37,064 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ 1.3 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.2 เท่า
คุณนำพล ได้ให้ภาพรวมแนวโน้ม (Outlook) ในไตรมาส 4 และกลยุทธ์หลักของบริษัท โดยแบ่งตามตลาดสำคัญ:
ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย: ยังทรงอยู่ในแดนบวกและเติบโตสม่ำเสมอ
คุณนำพลคาดว่าผลงานในไตรมาส 4 จะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 เหตุผลหลักเพราะตลาดไทย ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท (สัดส่วน 65%) กำลังจะเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น ทำให้ยอดขายลดลง แม้ว่าตลาดเวียดนาม (สัดส่วน 22%) จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น แต่เนื่องจากตลาดเวียดนามยังมีขนาดเล็กกว่าตลาดไทยมาก ยอดขายที่ดีขึ้นจากเวียดนามจึงไม่สามารถชดเชยยอดขายที่หายไปจากตลาดไทยได้ทั้งหมด และคาดว่าภาพรวมทั้งปี 2568 ยอดขายอาจจะลดลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ SCGD ก็ค่อนข้างมั่นใจว่ากำไรสุทธิจะยังคงเติบโต
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด