Sean Parker ผู้ร่วมก่อตั้ง Napster และอดีตประธานกรรมการบริษัท Facebook ออกมาวิจารณ์ social network ที่เขาร่วมกันสร้างขึ้นมากับ Mark Zuckerberg ว่าเป็นสิ่งที่อันตราย เพราะมันใช้ประโยชน์จากด้านอ่อนแอของมนุษย์
‘มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่า social network มันทำอะไรกับสมองและความคิดของลูกหลานเราได้บ้าง’ เขากล่าว
“เวลาที่เราสร้างแอปพลิเคชันพวกนี้ ความคิดก็คือ จะทำยังไงให้คนใช้เวลาและจดจ่ออยู่กับแอปนี้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้? ซึ่งนั้นแปลว่า เราต้องกระตุ้นสารโดพามีนให้หลั่งเป็นครั้งคราว เช่นเวลามีคนไลค์รูปหรือ comment บน post อะไรพวกนี้”
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “และนั้นทำให้ผู้ใช้ต่างสร้าง content มากขึ้น เพื่อแลกกับการกดไลค์ กลายเป็นวนลูปเพื่อการยอมรับทางสังคม ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับที่พวก Hacker อย่างตัวผมเองอยากจะสร้างขึ้นมา เพราะมันได้ใช้ประโยชน์จากด้านเปราะบางของจิตใจมนุษย์”
“ผู้สร้างอย่างผม อย่าง Mark หรือ Kevin Systom ที่สร้าง Instagram ต่างรู้ซึ้งถึงสิ่งนี้เป็นอย่างดี แต่พวกเราก็ยังคงสร้างมันขึ้นมา”
อย่างไรก็ตาม Facebook ยังไม่ได้ออกมาโต้ตอบคำวิพากษ์วิจารณ์ของ Sean Parker แต่อย่างใด
Parker ไม่ได้เป็นคนเดียวในวงการ tech ที่ออกมาแสดงความกังวลต่อ social network ที่เขาร่วมสร้างมา Tristan Harris ผู้เคยร่วมงานกับ Google ก็เคยออกมาวิจารณ์ว่าเหล่าบริษัท tech ต่างทำลายสมองของผู้ใช้
เขาเคยกล่าวเมื่อปี 2016 ว่า “ถ้าหากคุณเป็นแอปพลิเคชัน คุณจะทำยังไงให้ผู้คนติดใจ? คุณต้องทำให้ตัวเองกลายเป็น slot machine”
“เราควรทำให้ smartphone เป็นเกราะป้องกันความคิดและช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ไม่ใช่มาเป็นตัวกระตุ้นสมอง เวลาเป็นสิ่งมีค่า เราควรจะรักษามันและปกป้องมันให้ดี เช่นเดียวกับการรักษาความเป็นส่วนตัว และสิทธิด้านดิจิทัลอื่นๆ “
นอกจากนี้ยังมี Loren Brichter ผู้ออกแบบวิธี pull-to-refresh บน smartphone กล่าวว่า “ผมคิดทั้งวันทั้งคืนว่า สิ่งที่ผมสร้างมา มันมีผลในด้านบวกให้กับสังคมบ้างหรือเปล่า”
“วิธี refresh หน้าจอบน twitter อย่าง pull-to-refresh ทำให้ผู้คนติดมากขึ้น และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดี ช่วงที่ผมพัฒนาวิธีนี้ขึ้นมา ผมยังเด็กอยู่มากเลยไม่ได้คิดอะไรเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ผมค่อนข้างรู้สึกผิดกับด้านลบที่สร้างขึ้นมา”
อย่างไรก็ตาม Roger McNamee ผู้ลงทุนใน Facebook และ Google ให้ความเห็นว่า “คนที่ทำงานให้กับ Facebook และ Google ต่างเป็นคนที่มีเจตนาดี เพียงแต่สิ่งที่สร้างขึ้นมา ดันกลายเป็นมีผลต่อผู้คนในด้านลบโดยไม่ตั้งใจ ปัญหาก็คือตอนนี้บริษัททำอะไรไม่ได้นอกจากจะเปลี่ยนวิธีการโฆษณาที่ทำอยู่ในปัจจุบันทั้งหมด”
ที่มาของภาพและเนื้อหา Business Insider
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด