Startup จากต่างแดน อยากเริ่มทำธุรกิจในไทยต้องทำอะไรบ้าง | Techsauce

Startup จากต่างแดน อยากเริ่มทำธุรกิจในไทยต้องทำอะไรบ้าง

ปัจจุบันภาครัฐพยายามผลักดันให้ไทยเป็นประเทศนวัตกรรม ผ่านการออกนโยบายส่งเสริมการลงทุน การร่างกฎหมายเพื่อธุรกิจ Startup และการดึงดูดและอำนวยความสะดวกให้ชาวต่างชาติที่เป็นบุคลากรทักษะสูงให้เข้ามาลงทุนในประเทศ เช่น การออกกฎหมายยกเว้น Capital Gain Tax เป็นเวลา 10 ปี แก่นักลงทุนไทยและต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพไทย ภายใต้ 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ช่วยสนับสนุนให้  Startup ไทยสามารถระดมทุนจากนักลงทุนได้เพิ่มขึ้น และง่ายขึ้น 

นอกจากนั้นยังมี โครงการ SMART Visa หรือ วีซ่าประเภทพิเศษที่กำหนดขึ้นมาเพื่อดึงดูดบุคลากรทักษะสูงและนักลงทุนที่ประสงค์จะเข้ามาทำงานหรือลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ในฟากของภาคเอกชน ระบบนิเวศของธุรกิจสตาร์ทอัพในไทยก็ได้รับการสนับสนุนในหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ True Digital Park ที่นอกจากจะเป็นศูนย์กลางด้าน Startup ในไทยแล้ว ยังมีหลายโครงการในการสนับสนุน Startup ทั้งในไทยและต่างประเทศ ในบทความนี้จะไปรู้จัก Startup Booster โครงการสำหรับ Startup ที่ต้องการมาขยายธุรกิจในประเทศไทย 

ทำไมต้องเป็นประเทศไทย

อย่างที่ทราบกันดีว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ดึงดูดชาวต่างชาติในด้านของการท่องเที่ยว แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังดึงดูดชาวต่างชาติให้มาทำธุรกิจและอยู่อาศัยด้วย โดยไทยถือเป็นประเทศที่ต้นทุนการทำธุรกิจไม่สูงนัก ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงที่สมเหตุสมผล ค่าเช่าสถานที่ทำออฟฟิศ หรือสำนักงานที่ไม่สูงหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค นอกจากนั้นยังมีค่าครองชีพที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าที่พัก อาหาร ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจรัดตัวและการพุ่งขึ้นของค่าครองชีพทั่วโลก แต่ไทยก็ยังคงเป็นหมุดหมายที่ทั่วโลกต้องการมาอยู่ ไม่ว่าจะมาท่องเที่ยวหรือเริ่มทำธุรกิจ 

นอกจากนั้น ไทยยังถือเป็นประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) หรือตลาดกำลังพัฒนา ที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง 

รู้จัก Startup Booster โครงการบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพจาก True Digital Park 

Startup Booster เป็นโครงการบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพต่างประเทศ หรือชาวต่างชาติที่ต้องการเริ่มทำธุรกิจ หรือขยายธุรกิจมายังประเทศไทย จัดโดย True Digital Park ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและพาร์ทเนอร์ 

โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ความรู้และความเชี่ยวชาญที่จำเป็นแก่ธุรกิจสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการ รวมถึงช่วยสร้างสายสัมพันธ์กับเมนเทอร์และผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจ นอกจากนั้นโครงการ Startup Booster ยังสามารถให้วีซ่าประเภท S แก่ผู้ประกอบการได้ด้วย 

ธุรกิจจะได้อะไรจากการเข้าโครงการ Startup Booster 

  • SMART Visa ประเภท “S” เป็นเวลา 1 ปี เพื่ออยู่อาศัยและทำงานในประเทศไทย

  • ใช้ Co-working Space ที่ True Digital Park และ True Space

  • เข้าร่วม Business Matching เพื่อโอกาสในการเจอพาร์ทเนอร์ที่มีประสิทธิภาพ 

  • สิทธิในการรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เป็นจำนวน 4 ครั้ง 

  • เข้าถึงบริการหรือเครื่องมือช่วยเหลือที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ

  • Recruitment assistance

  • โอกาสในการระดมทุน (Funding)

  • กิจกรรม Networking ในทุกเดือน 

  • และอื่น ๆ อีกมากมาย 

โดยแพ็คเกจโครงการ Startup Booster แบ่งออกเป็นสองแบบ 

  1. แพ็คเกจประเภทบุคคล ( Individual Package) สำหรับผู้ประกอบการหรือผู้ที่ต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจในประเทศไทย
  2. แพ็คเกจประเภทองค์กร (Corporate Package) 

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจมาที่ประเทศไทย ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทย และผู้ที่กำลังมองหาโอกาสการทำงานในประเทศ ไม่ควรพลาดโครงการ Startup Booster จาก True Digital Park 

อ้างอิง : https://www.truedigitalpark.com/startup-support/tdpk-startup-booster 

บทความนี้เป็น Advertorial


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ไม่ยอมขายแอป ก็โดนแบน สหรัฐฯ จ่อแบน TikTok หวั่นเป็นภัยความมั่นคงชาติ

สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายแบน TikTok แล้ว บังคับบริษัทแม่ ByteDance ต้องขายแอปภายใน 1 ปี มิฉะนั้นจะถูกแบนในสหรัฐฯ ด้านซีอีโอ TikTok ประกาศกร้าว พร้อมท้าทายกฎหมาย ไม่ไปไหนทั้งนั้น...

Responsive image

KBank ผนึก J.P. Morgan เปิดโปรเจกต์ Carina ใช้บล็อกเชน ลดเวลาทำธุรกรรมจาก 72 ชั่วโมงเหลือ 5 นาที

Kbank ร่วมกับ J.P. Morgan Chase Bank เปิดตัวโปรเจคต์นวัตกรรมคารินา (Carina) ลดระยะเวลาการทำธุรกรรม จากที่ใช้เวลา 72 ชั่วโมงเหลือเพียงแค่ 5 นาที...

Responsive image

Apple Vision Pro ขายไม่ดีอย่างที่คิด Apple ลดคาดการณ์ยอดขายกว่าครึ่ง ปรับแผนใหม่

Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สาย Apple เผยว่า Apple ได้ลดตัวเลขยอดขาย Apple Vision Pro ในปีนี้เหลือเพียง 400-450,000 เครื่องเท่านั้น ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ (มากกว่า 700–800,000 เครื่อง)...