คุณจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2563 ถือเป็นปีที่สามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ทั้งในด้านกำไรสุทธิและรายได้รวม โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 14,401 ล้านบาท เติบโต 2,246% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 614 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 30,405 ล้านบาท เติบโต 154% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้รวม 11,994 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในรอบปีที่ผ่านมา เติบโตอย่างโดดเด่นทุกไตรมาส โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4/2563 สามารถทำกำไรสุทธิ 8,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,602% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 181 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 13,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 335% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 3,138 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดนั้น มาจากความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปีที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3.6 แสนล้านชิ้นต่อปี และมีดีมานด์กระจายตัวในหลากหลายอุตสาหกรรม จากเดิมที่ใช้ในทางการแพทย์เป็นหลัก จึงทำให้บริษัทฯ มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาเป็นจำนวนมาก ประกอบกับซัพพลายทั่วโลกยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยของถุงมือยางในตลาดโลกปรับขึ้นเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2563 ในอัตรา 2 บาทต่อหุ้น กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 12 เมษายนนี้ และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 เมษายน 2564 โดยเมื่อรวมกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากกำไรสุทธิส่วนที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนจากงวดผลการดำเนินงาน 1 มกราคม - 30 กันยายน 2563 ในอัตรา 0.625 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลในรอบปี 2563 อัตรารวม 2.625 บาทต่อหุ้น
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมถุงมือยางทั่วโลกในปี 2564 คาดว่าจะมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 20% จากปีที่ผ่านมา แม้ในปัจจุบันเริ่มมีการผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 และเริ่มทยอยฉีดแก่ประชาชนในหลายประเทศ เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทั่วโลก ยังคงมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้การใส่ใจด้านสุขอนามัยกลายเป็น New Normal ดังนั้นผลิตภัณฑ์ถุงมือยางจะยังเป็นที่ต้องการของวงการแพทย์และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องให้ความสำคัญด้านความสะอาด
จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทฯ วางเป้าปริมาณการขายถุงมือยางในปี 2564 ที่ 32,000 ล้านชิ้น เติบโตราว 14% จากปีก่อนหน้า โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีคำสั่งซื้อถุงมือยางธรรมชาติล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 13 เดือน และคำสั่งซื้อถุงมือยางไนไตรล์ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา 30 เดือน รวมถึงยังไม่เห็นสัญญาณการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าในปัจจุบัน นอกจากนี้บริษัทฯ วางแผนทยอยเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่อีก 4 แห่ง ในทุกๆ ไตรมาสของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านชิ้นต่อปี จากสิ้นปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 33,000 ล้านชิ้นต่อปี
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด