บอร์ดของ Tesla ออกแถลงการณ์ประกาศว่า Robyn Denholm อดีต CFO และ Head of Strategy จาก Telstra บริษัทด้านโทรคมนาคมในประเทศออสเตรเลีย ได้เข้ามานั่งเป็นประธานบอร์ดของ Tesla แทนที่ Elon Musk ที่ถูก SEC สั่งให้ลงจากตำแหน่งประธานบอร์ด

ก่อนหน้านี้ Elon Musk CEO ของ Tesla ถูกคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ฟ้องร้องฐานฉ้อโกงหลักทรัพย์ ด้วยการเจตนาเผยแพร่ข้อมูลเพื่อชักนำให้ผู้รับสารเข้าใจไปทางที่ผิด เนื่องจากไปประกาศจะตั้งราคาซื้อหุ้นคืน 420 ดอลลาร์ ซึ่งหวังจะนำ Tesla ออกจากตลาดหลักทรัพย์ พร้อมยืนยันว่ามีกองทุนรัฐบาลซาอุฯ สนับสนุนด้วย แต่ต่อมาก็กลับลำไม่เอาบริษัทออกจากตลาดหลักทรัพย์แล้ว

Photo: Steve Jurvetson/Flickr and Tesla

ทำให้ Elon Musk ต้องประกาศลงจากตำแหน่งประธาน (Chairman) บอร์ดของบริษัท Tesla ตามคำสั่งของ SEC และจะต้องจ่ายค่าปรับอีก 20 ล้านเหรียญฯ อีกด้วย แต่ยังคงดำรงตำแหน่งเป็น CEO และยังนั่งเป็นหนึ่งในกรรมการบริหาร (บอร์ด) ของบริษัทต่อไป

ล่าสุดบอร์ดของ Tesla ได้ประกาศว่า Robyn Denholm อดีต CFO และ Head of Strategy จาก Telstra บริษัทด้านโทรคมนาคมในประเทศออสเตรเลีย ได้เข้ามานั่งเป็นประธานบอร์ด (Chairman of the board) ของ Tesla แทนที่ Elon Musk ที่ถูก SEC สั่งให้ออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง Robyn ได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการอิสระ (Independent Director) มาตั้งแต่ปี 2557 แล้ว

“Robyn มีประสบการณ์ที่ครอบคลุมทั้งในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและยานยนต์ และเธอได้มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะสมาชิกกกรรมการบริหาร มาตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเพื่อช่วยให้บริษัทของเรา กลายเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรได้ (Profitable Company)” Musk กล่าวในแถลงการณ์

โดยในแถลงการณ์ระบุต่อว่า Denholm จะลงตำแหน่งบริหารที่ Telstra ภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากนี้ เมื่อพ้นช่วงเวลาดังกล่าว เธอจะเข้ามารับตำแหน่งในฐานะบอร์ดของ Tesla แบบเต็มตัว โดยแถลงการณ์จาก Telstra ระบุว่าเธอได้รับการอนุมัติให้ไปดำรงตำแหน่งให้ได้ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป ซึ่งวันสุดท้ายของการทำงานที่ Telstra คือวันที่ 6 พฤษภาคม 2562

“ฉันเชื่อมั่นในบริษัทนี้ ฉันเชื่อมั่นในภารกิจของบริษัทและฉันตั้งตารอที่จะช่วยเหลือ Elon รวมถึงทีมงาน Tesla เพื่อให้บริษัทสามารถสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนและผลักดันมูลค่าของผู้ถือหุ้นให้เกิดขึ้นในระยะยาวได้” Denholm กล่าว

อ้างอิงข้อมูลจาก The Financial Times