เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมมที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่….) พ.ศ….. จำนวน 5 มาตรา ในวาระที่ 2 และ 3 หลังจากทางคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) พิจารณาเสร็จแล้ว
โดยมีสาระสำคัญ คือ มีการแก้ไขเพิ่มเติมประเด็นว่าด้วยการชำระเงินภาษีผ่านทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และการแจ้งรายละเอียดของบุคคล และนิติบุคคล โดยจะเพิ่มช่องทางชำระภาษีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท
ซึ่งในมาตรา 3 ของ พ.ร.บ. แก้ไขกฎหมายภาษีในฉบับนี้ได้กำหนดให้ สถาบันการเงินต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีธุรกรรมลักษณะเฉพาะต่อกรมสรรพากร ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป ถ้าธุรธรรมลักษณะเฉพาะนั้นเป็นธุรกรรมลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
ทั้งนี้ นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธาน กมธ. ยืนยันว่าเป็นไปตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุให้กรมสรรพากรพิจารณาการจัดเก็บภาษีที่ยั่งยืน และไม่สร้างภาระทางภาษีในอนาคต รวมถึงต้องการยกระดับธุรกิจ SME ด้วย ซึ่งไม่ถือเป็นการบังคับจนเกินไป แต่เพื่อให้การเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งนายวิสุทธิ์ชี้แจงว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เจาะจงเก็บภาษีเฉพาะผู้ค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพ เพราะจากตัวเลขของกลุ่มที่ใช้แรงงาน อายุ 30-39 ปี ที่มี 10.7 ล้านคน พบว่า
“ดังนั้นผมยืนยันว่าร่างกฎหมายนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้เงินสดของประชาชน อีกทั้งผลดีของร่างกฎหมายคือช่วยตรวจสอบ และป้องปรามกลุ่มธุรกิจสีเทาได้ด้วย” นายวิสุทธิ์กล่าว
ในระหว่างการประชุมมีการถกเถียงอภิปรายกันเพื่อให้แก้ในบางประเด็น ซึ่งก็ได้แก้ไปในบางส่วนแล้ว แต่ในที่สุดกฎหมายดังกล่าวก็ได้ลงมติในวาระที่ 3 ว่าเห็นสมควรประกาศใช้ร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมาย ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 139 เสียง ไม่มีเสียงไม่เห็นด้วย และงดออกเสียง 7 เสียง ซึ่งจะเตรียมประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับให้จริงในช่วงปี 2562 ต่อไป
ต้องยอมรับว่ากรมสรรพากรผลักดันกฎหมายและการเก็บภาษีเพิ่มเติมกับผู้ค้าขายผ่านทางออนไลน์ หรือ E-Commerce รวมถึง แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา กรมสรรพากร และกระทรวงการคลัง ได้เสนอร่าง พ.ร.บ. 3 ฉบับ ซึ่งเกี่ยวกับการเก็บภาษีจากผู้ค้าขายผ่านทางออนไลน์ทั้งสิ้น ได้แก่
น่าจับตาอย่างยิ่งว่าหลังจากนี้ พ.ร.บ. แก้ไขกฎหมายภาษี ที่เกี่ยวข้องกับผู้ค้าขายออนไลน์จะมีความคืบหน้าเพิ่มเติมอย่างไร ต้องจับตากันให้ดี เพราะกรมสรรพากรรายงานว่าในประเทศไทยมีผู้ขายสินค้าออนไลน์มากถึง 500,000 ราย โดยมีผู้ประกอบการจากต่างประเทศเข้ามาดำเนินการในประเทศไทยมากถึง 350,000 รายอีกด้วย
อ้างอิงข้อมูลจาก เดลินิวส์, ข่าวสด, Bangkok Post, โพสต์ทูเดย์ และ MThai
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด