ในโลกธุรกิจ การประเมินความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะส่งผลโดยตรงต่อการลงทุน การค้า และการดำเนินธุรกิจโดยรวม เครดิตเรตติง (Credit rating) จึงเปรียบเสมือนใบรับรองความมั่นคงทางการเงินของประเทศ
ซึ่งปัจจุบัน ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเครดิตเรตติงที่ BBB+ โดย Fitch Ratings ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับน่าลงทุน (Investment Grade) แม้จะอยู่ในระดับน่าลงทุน แต่ก็เป็นอันดับที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับอดีตที่ประเทศไทยเคยได้รับอันดับสูงสุดที่ A ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) จึงได้ออกมาเตือนถึงความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจถูกลดอันดับเครดิตเรตติง ซึ่งอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจไทย และแนวทางการรับมือกับสถานการณ์นี้
อันดับเครดิตเรตติงมีความสำคัญอย่างไร?
อันดับเครดิตเรตติงของประเทศ หรือ Sovereign Credit Rating คือ เครื่องมือวัดความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ของประเทศ โดยสะท้อนความสามารถในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ อันดับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นตัวกำหนดต้นทุนในการกู้ยืมของภาครัฐและเอกชน หากประเทศมีอันดับเครดิตเรตติงที่ดี ก็จะสามารถกู้ยืมเงินได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ช่วยลดภาระทางการคลังและส่งเสริมการลงทุน ในทางกลับกัน หากอันดับเครดิตเรตติงถูกปรับลดลง ก็จะทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมสูงขึ้น กระทบต่อการลงทุน การจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ประเทศไทยถูกปรับลดอันดับเครดิต
SCB EIC ได้วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้ประเทศไทยถูกปรับลดอันดับเครดิต ซึ่งประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- ความยั่งยืนของหนี้สาธารณะ: หนี้สาธารณะของไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤตโควิด-19 และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดวินัยทางการคลัง การใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น และการจัดเก็บรายได้ที่ไม่เพียงพอ หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการขาดดุลการคลังและสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้ ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิต
- เสถียรภาพทางการเมืองและธรรมาภิบาล: แม้สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันจะไม่รุนแรง แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากความขัดแย้งทางการเมืองส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- อัตราการเติบโตและศักยภาพทางเศรษฐกิจ: เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้ช้า และมีแนวโน้มเติบโตต่ำในระยะปานกลาง ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ เช่น ผลิตภาพแรงงานต่ำ การลงทุนไม่เพียงพอ และสังคมสูงวัย หากประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจได้ ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิต
ผลกระทบหากประเทศไทยถูกลดอันดับเครดิต
การถูกปรับลดอันดับเครดิตจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
- ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น: ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องเผชิญกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ซึ่งจะเพิ่มภาระทางการคลัง และลดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ
- เงินทุนไหลออก: นักลงทุนต่างชาติอาจถอนการลงทุน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยง ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากประเทศ และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง
- ความเชื่อมั่นลดลง: การถูกปรับลดอันดับเครดิตจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้การลงทุนและการบริโภคชะลอตัวลง
แนวทางการลดความเสี่ยง
SCB EIC เสนอแนะแนวทางในการลดความเสี่ยง เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยถูกปรับลดอันดับเครดิต ดังนี้
- ปฏิรูปการคลัง: รัฐบาลควรดำเนินการปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง เพื่อควบคุมการขาดดุลการคลัง และสัดส่วนหนี้สาธารณะ รวมถึงการจัดสรรงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และการปฏิรูปภาษี
- เสริมสร้างธรรมาภิบาล: รัฐบาลควรส่งเสริมธรรมาภิบาล และความโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเมือง
- ยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจ: รัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาแรงงาน การส่งเสริมการลงทุน และการปรับตัวเข้าสู่สังคมสูงวัย
- ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน: รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่น และดึงดูดการลงทุนในระยะยาว
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับเครดิต ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงควรดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิรูปการคลัง การเสริมสร้างธรรมาภิบาล และการยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
อ้างอิง SCB EIC