ไปรษณีย์ไทยโต 227% รับอีคอมเมิร์ซพุ่ง กังวลภาษีนำเข้ากระทบ SME ไทย

ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของไปรษณีย์ไทย สู่การเป็น Tech Post อย่างเต็มรูปแบบ ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า สิ่งนี้สะท้อนชัดเจนจากผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2568 ที่บริษัทมีรายได้รวม 5,945.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.83% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิ 534.45 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 227.72% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยบริษัทมีแผนกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการใช้ศักยภาพที่มีให้ครอบคลุมบริการต่างๆ มากขึ้นในไตรมาส 2-4

ดร.ดนันท์ กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการค้าออนไลน์ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการขยายตัวของตลาดอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้ผลประกอบการในไตรมาส 1 ปีนี้ดีขึ้น โดยกลุ่มธุรกิจที่เติบโตมากที่สุดคือกลุ่มบริการไปรษณีย์ในประเทศที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 20.17% และกลุ่มบริการขนส่งและโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น 13.15% ในขณะเดียวกันปริมาณชิ้นงานในไตรมาสแรกยังเติบโต 7.48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยบริการ EMS ยังมีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 5.94%

จับตาสถานการณ์การค้าโลก หวั่นกระทบ SME ไทย

แม้ผลประกอบการไตรมาสแรกจะสดใส แต่ ดร.ดนันท์ ยอมรับว่ายังมีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff Policy) ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั่วโลก รวมถึงประเด็นการยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ (De Minimis Exemption) ซึ่งไปรษณีย์ไทยได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับไปรษณีย์สหรัฐอเมริกา (USPS) อย่างต่อเนื่อง

นโยบายกำแพงภาษีอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางการส่งออกของนานาประเทศ ซึ่งหากผู้ผลิตรายใหญ่อย่างจีนเบนเข็มการส่งออกสินค้าจำนวนมากเข้ามายังประเทศไทย และเลือกใช้บริการขนส่งจากบริษัทสัญชาติตนเอง ผลกระทบจะไม่จำกัดอยู่เพียงแค่ไปรษณีย์ไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการ SME ของไทยที่จะต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากสินค้านำเข้า สถานการณ์นี้ยิ่งซับซ้อนเมื่อปัจจุบันยอดส่งออกของไทยไปต่างประเทศก็ลดลงอยู่แล้วประมาณ 10% จากปัญหาการแข่งขันด้านราคาดร.ดนันท์ อธิบาย

กลยุทธ์สำหรับไตรมาส 2-4

สำหรับในช่วงไตรมาส 2-4 ไปรษณีย์ไทยมีแผนดำเนินงานโดยใช้จุดแข็งและทรัพยากรที่มีอยู่ เริ่มจาก บริการส่งด่วน EMS ซึ่งยังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับตลาด B2C และ C2C โดยเฉพาะอีคอมเมิร์ซที่ต้องการความรวดเร็วและเชื่อถือได้ ผ่านเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมี บริการขนส่งที่หลากหลาย เพื่อรองรับกิจกรรมทางธุรกิจอย่างครบวงจร ครอบคลุมทั้งการส่งสิ่งของขนาดใหญ่, สินค้าควบคุมอุณหภูมิ, ยาและเวชภัณฑ์, สินค้าเกษตร และอื่นๆ ทั้งในรูปแบบ B2B, B2C, และ C2C ในด้าน บริการทางการเงิน ไปรษณีย์ไทยจะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศในการเป็นตัวแทนธนาคาร (Banking Agent) เพื่อให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจร

ส่วน บริการกลุ่มค้าปลีก จะเน้นดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Omni-Channel เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ตั้งแต่การค้นหาข้อมูล การซื้อสินค้า การชำระเงิน การจัดส่ง จนถึงบริการหลังการขาย โดยมีสินค้าหลากหลายประเภท เช่น สินค้าไปรษณีย์ (กล่อง, ซอง), สินค้าที่ระลึก, และสินค้า House Brand (กาแฟ, น้ำดื่ม, ข้าวสาร) รวมถึงแพลตฟอร์ม ThailandPostMart ที่คัดสรรสินค้าอุปโภคบริโภคจากทั่วประเทศกว่า 20,000 รายการ นอกจากนี้ยังมีการ ขยายบริการเพื่อรองรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยสร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์ม eBay และ Amazon FBA ให้บริการคลังสินค้าสำหรับผู้ขายที่ต้องการขนส่งข้ามพรมแดน และได้จัดตั้ง "Regional ASEAN Post Alliance" (RAPA) ร่วมกับไปรษณีย์เวียดนาม, ไปรษณีย์อินโดนีเซีย และพันธมิตรจากเวียดนามและสิงคโปร์ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านขนส่งและไปรษณีย์ในภูมิภาคอาเซียน

ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจ Post Next (Information Logistics) เตรียมจะอัปเกรดบริการ “Prompt Post” ในไตรมาส 3/2568 โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ได้แก่ Digital Postbox, Passport Tracking, Prompt Pass (เชื่อมข้อมูลภาครัฐ) และ Prompt Vote (ระบบลงคะแนนเสียงออนไลน์) สุดท้ายคือการใช้ศักยภาพของ เครือข่ายบุรุษไปรษณีย์ ผ่านบริการ Postman Cloud เช่น การร่วมมือกับสำนักงานสถิติแห่งชาติในการลงพื้นที่สำรวจข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะ 2568 ใน 11 จังหวัด ครอบคลุม 4.17 ล้านครัวเรือน ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน ถึง 15 กรกฎาคม 2568

มุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม

ไปรษณีย์ไทยยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนภายใต้วิสัยทัศน์ “ส่งมอบการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านเครือข่ายไปรษณีย์” ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ Net Zero Emissions ภายในปี 2593 ผ่านการทยอยเปลี่ยนยานยนต์เป็นระบบไฟฟ้า (EV) ทั้งรถจักรยานยนต์ 9,000 คัน และรถยนต์กว่า 1,000 คัน พร้อมติดตั้งระบบ Solar PV Rooftop ณ ที่ทำการไปรษณีย์ 120 แห่งภายในปี 2572

นอกจากนี้ยังเดินหน้าโครงการ “Green Hub” เพื่อสนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแคมเปญ reBOX ที่รวบรวมกล่อง/ซองพัสดุใช้แล้วกว่า 600 ตันใน 4 ปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 3,500 ตันคาร์บอนเทียบเท่า และร่วมมือกับพันธมิตรในโครงการต่างๆ เช่น e-Waste กับ AIS, รับบริจาคอะลูมิเนียมกับกรมควบคุมมลพิษ, โครงการ “วน” กับ TPBI และโครงการ “GC YOUเทิร์น” กับ PTTGC เพื่อนำวัสดุต่างๆ กลับมารีไซเคิลและใช้ประโยชน์ต่อไป

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจาะดีล Netflix เข้าซื้อ Warner Bros ทำไมถึงยอมจ่ายมากถึง 8.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำไมหลายคนไม่เห็นด้วย

นับเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการบันเทิงหนัง Netflix เจ้าตลาดสตรีมมิ่งประกาศเข้าซื้อกิจการ Warner Bros. ซึ่งนับรวมถึงสตูดิโอสร้างภาพยนตร์-โทรทัศน์ และธุรกิจสตรีมมิ่ง HBO Max และ HBO ด...

Responsive image

ซีอีโอ AWS ชี้ AI Agents จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต เราอาจได้เห็น AI Agent พันล้านตัวรันองค์กร

AWS ซีอีโอประกาศชัด AI Agents จะสร้างผลกระทบต่อโลกธุรกิจยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและ Cloud พร้อมเปิดยุคที่ ‘AI Agent พันล้านตัว’ ทำงานอัตโนมัติอยู่หลังองค์กรทั่วโลก เร่งผลตอบแทนทางธุรกิ...

Responsive image

วิกฤตสมองไหลใน Apple ไม่จบ ! ล่าสุด Meta ดึงตัว Alan Dye หัวหน้าทีมดีไซน์ Apple ผู้คุมออกแบบ Liquid Glass ใน iOS26

เจาะลึกสมองไหลใน Apple ปี 2025 เมื่อผู้เชี่ยวชาญ AI หลายคนย้ายไป Meta, OpenAI และ Cohere ส่งผลต่ออนาคต Apple Intelligence...