จุดจบของ Design Thinking? | Techsauce

จุดจบของ Design Thinking?

เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดนั้นได้สอนให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์นั้นคิดอย่างดีไซน์เนอร์ และพวกเขาเรียกมันว่า "Design Thinking" 

คุณไม่สามารถที่จะสอนผู้คนให้เป็นดีไซน์เนอร์ได้ในเพียงวันสองวัน ดีไซน์เนอร์นั้นคือกลุ่มคนที่เดินตามเสียงเรียกร้องตั้งแต่วัยเด็ก พวกเขานั้นเป็นเด็กที่สามารถที่จะวาดรูปได้ในขณะที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ พวกเขานั้นอ่านดีไซน์บล็อก ไปพิพิธภัณฑ์ และสวมใส่ชุดของดีไซน์เนอร์ พวกเขานั้นใช้ชีวิตและหายเข้าและหายใจออกเป็นดีไซน์ในทุกช่วงชีวิตของพวกเขา มันจึงไม่มีทางที่คนอื่น ๆ จะสามารถตามพวกเขาได้ทัน มันเป็นการแข่งขันที่มีผู้แพ้อยู่แล้ว แต่สำหรับ Design Thinking แล้วมันแตกต่างออกไป

สำหรับ Design Thinking คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นดีไซน์เนอร์ ทุกคนไม่สามารถที่จะเป็นดีไซน์เนอร์ได้ แต่ทุกคนสามารถที่จะคิดเหมือนดีไซน์เนอร์ได้

Design Thinking ยังจำเป็นอยู่หรือไม่?

แต่เมื่อไม่นานนี้ มันกลับมีสิ่งสำคัญที่ได้เกิดขึ้น ซึ่งมันอาจจะดูเหมือนเรื่องเล็ก ๆ ในสายตาของใครหลาย ๆ คน แต่มันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการ Design Thinking เมื่อมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดนั้นได้เปิดตัวคอร์สเรียนใหม่ ซึ่งเป็นคอร์สเรียนระยะเวลา 3 ชั่วโมงที่จะสอนให้ผู้คนนั้นดีไซน์โดยปราศจากกระบวนการคิด เป็นการดีไซน์แบบเรียบง่ายในระยะเวลา 3 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วสิ่งนี้จะกลายมาเป็นจุดจบของ Design Thinking หรือไม่? 

การเรียน Design Thinking นั้นดูเหมือนจะทำให้การดีไซน์นั้นเข้าถึงง่ายขึ้นในหมู่คนทั่วไป แต่ผู้คนนั้นกลับได้ค้นพบว่าการทำ Design Thinking นั้นไม่สามารถที่จะให้ผลลัพท์ที่ทุกคนนั้นต้องการได้ ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มที่จะตระหนักได้ว่าการทำ Design Thinking นั้นเป็นการเอาทักษะของดีไซน์เนอร์นั้นไปออกแบบสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ทำให้การสอน Design Thinking อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป และต้องพึ่งการลงมือทำจริง ๆ เพราะว่าถ้าหากไม่มีการลงมือทำ การคิดนั้นก็ไร้ประโยชน์

ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ถือว่าเป็นก้าวต่อไปของศักยภาพในการดีไซน์และการแก้ปัญหา การทำ Design Thinking นั้นได้ทำให้ผู้คนนั้นตระหนักถึงพลังและประโยชน์ของการดีไซน์เมื่อเป็นเรื่องของนวัตกรรมและการแก้ปัญหา แต่ดีไซน์เนอร์ทุกคนนั้นก็รู้ว่าการดีไซน์นั้นไม่ได้ทำง่าย ๆ โดยแค่ 5 ขั้นตอนเท่านั้น และพวกเขายังรู้ว่าการนึกถึงแต่แค่ความต้องการของผู้ใช้นั้นจะไม่ทำให้เกิดการดีไซน์ที่ดี ซึ่งต้องยอมรับว่าการทำ Design Thinking นั้นได้เข้ายึดพื้นที่ของการดีไซน์เพื่อที่จะเข้าไปสู่การแก้ไขปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน ซึ่งเราก็เห็นว่ามันได้ผลดีอย่างมาก ทำให้ในตอนนี้การดีไซน์นั้นถือว่าสำคัญมาก และมันได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในทุกห้องประชุมบอร์ดบริหารทุกห้อง และอยู่ในทุก ๆ บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ 

แต่สุดท้ายแล้ว ทุก ๆ อย่างนั้นมันเกี่ยวกับการออกแบบและลงมือทำ ไม่ใช่การทำ Design Thinking ซึ่งแน่นอนว่า Design Thinking นั้นถือว่าเป็นโครงสร้างที่แสนชาญฉลาดมาก แต่แล้วมันหมายความว่าอย่างไร? ไม่มีใครรู้ได้เลย อย่างไรก็ตามแต่ Design Thinking สามารถที่จะทำงานได้อย่างน่าสนใจและได้รับความสนใจอย่างมากเลยทีเดียว

การสอน Design Thinking อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป จะต้องพึ่งการลงมือทำจริง ๆ เพราะว่าถ้าหากไม่มีการลงมือทำ การคิดนั้นก็ไร้ประโยชน์

เหรียญอีกด้านของ Design Thinking สะพานแห่งการร่วมมือระหว่างการดีไซน์และธุรกิจ

แต่มันก็มีอีกด้านหนึ่งสำหรับเรื่อง Design Thinking ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การทำ Design Thinking นั้นไม่ได้มีแค่เพื่อให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์นั้นสามารถเข้าถึงการดีไซน์ได้มากขึ้น แต่มันถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ดีไซน์เนอร์สามารถเข้าถึงการคิดแบบธุรกิจได้มากขึ้นเช่นกัน มันเหมือนเป็นสะพานระหว่างดีไซน์เนอร์และผู้ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์ เราจะเห็นได้ว่ามีผู้ที่ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์จำนวนมากเข้าร่วมคลาสและเวิร์คชอป Design Thinking มีหลายคนที่ได้ตัดสินใจข้ามจากธุรกิจไปยังการดีไซน์ แต่ในอีกทางหนึ่ง เราก็ยังไม่ได้ค่อยเห็นดีไซน์เนอร์เข้าคลาสธุรกิจ และข้ามสายไปยังฝากของธุรกิจมากเท่าไหร่

แต่ในการที่ดีไซน์เนอร์จะยึดพื้นที่ของพวกเขากลับมา พวกเขาเหล่านั้นจะต้องข้ามสะพานไปยังการคิดแบบธุรกิจ พลังของการออกแบบนั้นจะแก้ปัญหาทางธุรกิจที่มีความซับซ้อนก็ต่อเมื่อดีไซน์เนอร์นั้นเข้าใจบริบทของธุรกิจ เปรียบเสมือนการครองเมือง ถ้าหากดีไซน์เนอร์นั้นจะครองเมือง แต่ไม่สามารถบริหารมันได้ พวกเขาก็จะสามารถครองเมืองได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ทำให้ทั้งดีไซน์เนอร์และผู้ที่ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์นั้นควรจะทำสิ่งนี้ด้วยกัน ผู้ที่ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์สามารถที่จะเรียนรู้การออกแบบ และดีไซน์เนอร์ก็สามารถที่จะเรียนรู้ธุรกิจ เพื่อที่เราทุกคนจะสามารถทำงานร่วมกันในการแก้ปัญหาซับซ้อนที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

บทความนี้เรียบเรียงจากบทความ The End of Design Thinking As We Know It ของ Dennis Hambeukers


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

OpenAI เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT วิเคราะห์-โต้ตอบวิดีโอได้แบบเรียลไทม์

OpenAI อัปเดทความสามารถ ChatGPT บนโหมดสนทนาด้วยเสียงหรือ Advanced Voice Mode สามารถวิเคราะห์และโต้ตอบจากวิดีโอได้แบบเรียลไทม์ นับเป็นการเปิดตัวฟีเจอร์ต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ในแคมเปญ...

Responsive image

Microsoft เปิดตัว Phi-4 โมเดล AI รุ่นใหม่ เน้นแก้โจทย์คณิตศาสตร์

Phi-4 ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด Small Language Model (SLM) มีขนาด 14 พันล้านพารามิเตอร์ ซึ่งเล็กกว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่อย่าง GPT-4 แต่ยังคงความรวดเร็วและต้นทุนการประมวลผลที่ต่ำกว่า และพร้...

Responsive image

เคอีเอ็กซ์ประกาศ การลาออกของซีอีโอ พร้อมตั้งผู้บริหารร่วม (Co-CEO) รับช่วงต่อ

บริษัท เคอีเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 ว่า บริษัทฯ ได้รับหนังสือแจ้งการลาออกจากตำแหน่งประธ...