ท่ามกลางกระแสการแบนแอปฯ TikTok ในสหรัฐฯ ที่มีการเรียกร้องให้ Bytedance บริษัทแม่จากจีนของ TikTok ขายกิจการ หรือถอดจากแอปสโตร์ของสหรัฐฯ ล่าสุดก็ได้มีการเคลื่อนไหวจากทั้งทางฝั่ง Bytedance ที่ออกมาตอบโต้ถึงกระแสดังกล่าวผ่านแคมเปญ และรายงานผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมถึงฝั่งสหรัฐฯ ที่พยายามผลักดันให้เกิดการแบน TikTok ในประเทศตัวเอง
เรื่องราวการแบน TikTok มีจุดเริ่มต้นมาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่อ้างว่า TikTok เป็นช่องทางให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อขโมยข้อมูลผู้ใช้งานชาวอเมริกัน ซึ่งทางรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นกังวลต่อภัยความมั่นคงแห่งชาติ แต่ยังไม่มีข้อมูล และหลักฐานยืนยันว่า TikTok ทำเช่นนั้นจริงหรือไม่นอกจากการที่ Bytedance บริษัทแม่ของ TikTok เป็นบริษัทจีนเท่านั้น
ความพยายามในการแบน TikTok ไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2021 อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยออกคำสั่งห้ามใช้แอปฯ TikTok ก่อนที่จะถูกระงับโดยศาลกลางรัฐบาลที่มองว่า ‘เป็นการกระทำที่ขาดเหตุผล และตามอำเภอใจ’
รัฐมอนทานา ก็เคยออกกฏหมายแบน TikTok ทั้งรัฐ ซึ่งถือเป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ โดยผู้ว่าการรัฐมอนเทนาให้เหตุผลว่า ‘เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลของชาวมอนแทนาจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน’ ก่อนที่สุดท้ายแล้วจะถูกรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ปัดตกไป โดยตัดสินว่า ‘เกินขอบเขตอำนาจของรัฐ และละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของผู้ใช้
กระแสการแบน TikTok ในสหรัฐฯ กลับมาระอุขึ้นอีกครั้งหลังวันที่ 13 มีนาคม 2024 สภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฏหมาย 'Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act' (พระราชบัญญัติคุ้มครองชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยศัตรูต่างชาติ) ได้รับความเห็นชอบอย่างท่วมท้นโดยมีผู้ลงคะแนนสนับสนุน 352 เสียง และคัดค้านเพียง 65 เสียง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน กังวลว่าแอปฯ TikTok อาจอนุญาตให้รัฐบาลจีนเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ และมีอิทธิพลต่อชาวอเมริกันผ่านอัลกอริทึมอันทรงพลังจนสร้างนิสัย ‘ติดหนึบ’ ซึ่งทางฝั่งทำเนียบขาวก็แสดงท่าทีพร้อมสนับสนุนร่างกฏหมาย โดยประธานาธิบดี Joe Biden กล่าวว่า เขาจะลงนามเป็นกฎหมายหากผ่านสภาคองเกรส
“ByteDance ไม่ได้ถูกควบคุม หรือเป็นเจ้าของโดยรัฐบาลจีน มันเป็นบริษัทเอกชน”
Shou Zi Chew ซีอีโอของ TikTok กล่าวในการให้การต่อสภาคองเกรสเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
แม้ TikTok ปฏิเสธข้อกล่าวหาจากสหรัฐฯ ทั้งหมด และพยายามชี้ให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ตลอดเวลา 5 ชั่วโมงในการตอบคำถามต่อสภาคองเกรสเมื่อปี 2023 ทาง Shou Zi Chew มีการปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกับเน้นย้ำว่าแพลตฟอร์มพยายามทำทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยของชาวอเมริกัน
“เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ TikTok สร้างจำนวนไฟร์วอลล์เพื่อป้องกันข้อมูลผู้ใช้ ในสหรัฐอเมริกาจากการเข้าถึงจากต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต สิ่งสำคัญที่สุดคือ ข้อมูลของชาวอเมริกันจัดเก็บในดินแดนของอเมริกา โดยบริษัทอเมริกัน ซึ่งดูแลโดยเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกัน” Shou Zi Chew กล่าว
เพื่อต่อสู้กับร่างกฏหมายที่อาจสั่งแบนในสหรัฐฯ TikTok ได้ทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์กับแคมเปญโฆษณา #KeepTikTok ผ่านทางโทรทัศน์ และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ทั่วสหรัฐฯ โฆษณาชุดนี้พยายามชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของแพลตฟอร์ม TikTok เช่น การสร้างคอมมูนิตี้ที่ปลอดภัย โดย Michael Hughes ตัวแทนจาก TikTok กล่าวถึงแคมเปญครั้งนี้ว่า
“เราคิดว่าประชาชนโดยทั่วไปควรทราบว่า รัฐบาลกำลังพยายามลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการพูดของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน และทำลายธุรกิจขนาดย่อมเจ็ดล้านแห่งทั่วประเทศ”
นอกจากการออกโฆษณาแล้ว TikTok ยังร่วมมือกับ Oxford Economics เพื่อออกรายงานที่แสดงให้เห็นถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ TikTok มอบให้แก่ธุรกิจ และผู้บริโภคทั่วสหรัฐฯ โดยเผยให้เห็นถึงตัวเลขสำคัญ และน่าสนใจ เช่น
จากตัวเลขรายงานด้านบน แสดงให้เห็นว่า TikTok ทำหน้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในสหรัฐฯ สำหรับทั้งธุรกิจขนาดย่อมและผู้บริโภค ส่งเสริมการเติบโต และความหลากหลาย ซึ่งหากการแบน TikTok เกิดขึ้นจริง อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การจ้างงาน และ GDP ของสหรัฐฯ ได้
แม้ร่างกฏหมายดังกล่าวอาจสู่การหายไปของแอปฯ TikTok ภายใน 6 เดือนในสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีความแน่ชัดว่า TikTok จะถูกแบนในสหรัฐฯ หรือไม่ เพราะยังต้องผ่านด่านสำคัญอย่าง ‘วุฒิสภา’ ที่เป็นผู้ชี้ชะตาอนาคตของแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้กว่า 170 ล้านคนในสหรัฐฯ ต่อไป
อ้างอิง : TikTok (Economic Impact), Aljazeera, Time, AP, The New York Times, Investorplace
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด