สรุปกรณีแบน TikTok แอปฯ มาแรงจากจีน | Techsauce

สรุปกรณีแบน TikTok แอปฯ มาแรงจากจีน

ในช่วงหลายปีผ่านมา เราอาจจะเห็นบริษัทที่ให้บริการออนไลน์ต่าง ๆ นั้นมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นบริษัท e-Commerce, Social Media หรือ Video Sharing App อย่างไรก็ตามแต่บริษัทเหล่านี้ดูเหมือนจะได้ประโยชน์จากการเกิดขึ้นของการแพร่ระบาดของ COVID-19 มากที่สุด ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ผู้คนนั้นต้องหันเข้าหาโลกออนไลน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การล็อกดาวน์ทำให้ผู้คนนั้นหาความบันเทิงจากทางแอปพลิเคชันต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่ง TikTok ก็เป็นอีกแอปพลิเคชันหนึ่งที่เรียกว่าจำนวนผู้ใช้งานนั้นเติบโตอย่างรวดเร็วมากในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ถ้าหากพูดถึงแอปฯ TikTok คงไม่มีใครไม่รู้จักแอปพลิเคชัน Video Sharing ชื่อดังจากจีนในตอนนี้ อย่างไรก็ตามแต่ ดูเหมือนว่าตอนนี้ TikTok จะโดนศึกหนักจากหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอินเดียหรือสหรัฐฯ มาดูกันว่าเรื่องราวปัญหาครั้งนี้มีความเป็นมาอย่างไรและ TikTok โดนผลกระทบอะไรบ้าง

TikTok กับข้อสงสัยรุกล้ำความเป็นส่วนตัว

ก่อนการแบนจากอินเดียจะเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ TikTok นั้นก็เคยเผชิญกับข้อสงสัยเรื่องการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวมาก่อนแล้ว ในเดือนเมษายนที่ผ่านมีผู้ใช้งาน Reddit ได้โพสต์การวิเคราะห์เรื่องของการรุกล้ำของความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานจาก TikTok อย่างรุนแรง โดยผู้โพสต์นั้นอ้างว่า TikTok นั้นได้จัดเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะเป็น Hardware IDs, หน่วยความจำ, แอปฯที่ติดตั้ง, IP Addresses และ Wi-Fi Access Point เป็นต้น ซึ่งบน TikTok นั้นก็ได้มีการระบุ Privacy Policy ว่าทางแอปฯ นั้นจะ “จัดเก็บข้อมูลเมื่อคุณใช้แพลตฟอร์ม ซึ่งรวมถึงข้อมูลอินเทอร์เน็ต หรือข้อมูลอการใช้งานอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ เช่น IP Address, ข้อมูลระบุพิกัด... ประวัติการเข้าอินเทอร์เน็ตและประวัติการค้นหา” นอกจากนั้นยังมีข้อสงสัยจากนักการเมืองอเมริกันที่ได้บอกว่าทางแอปฯ นั้นได้เซ็นเซอร์คอนเทนต์ที่ไม่ตรงกับผลประโยชน์ของทางรัฐบาลจีน ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยและข้อกังวลจากผู้ใช้หลาย ๆ คน

ความตึงเครียดระหว่างชายแดนอินเดีย-จีน 

ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและจีนเริ่มรุนแรงขึ้นหลังจากเกิดการปะทะกันที่ชายแดนอินเดีย-จีนตรงบริเวณหิมาลายาเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทหารอินเดียกว่า 20 คนนั้นเสียชีวิต ทำให้รัฐบาลอินเดียนั้นสั่งแบนแอปพลิเคชันจีนกว่า 59 แอปฯ ในวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันเหล่านี้นั้นแอบเอาข้อมูลผู้ใช้งานไปให้เซิร์ฟเวอร์ที่อยู่นอกอินเดีย ซึ่งการที่อินเดียได้มีคำสั่งแบนนี้ออกมานั้นส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่หลาย ๆ รายจากประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, Tencent และ Baidu 

แต่ถ้าหากพูดถึงผลกระทบ TikTok นั้นดูเหมือนจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการสั่งแบนครั้งนี้ เนื่องจากประเทศอินเดียนั้นเป็นหนึ่งในฐานผู้ใช้งานที่สำคัญของ TikTok โดยมีจำนวนผู้ติดตั้งแอปพลิเคชันมากถึง 610 ล้านครั้ง เปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ที่มีจำนวนผู้ติดตั้งอยู่ที่ 165 ล้านครั้งเท่านั้น

สหรัฐฯ เตรียมแบน TikTok ต่อจากอินเดีย

จากการแบน TikTok ของอินเดีย สหรัฐฯ ดูเหมือนจะเป็นประเทศต่อไปที่จะเตรียมแบนแอปฯ นี้เป็นรายต่อไป รัฐมนตรีหลายรายเริ่มออกความเห็นให้มีการตรวจสอบเรื่องของการเซ็นเซอร์คอนเทนต์ต่าง ๆ จาก TikTok โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ Mike Pompeo ก็ได้ออกมาสนับสนุนการแบนในครั้งนี้เช่นกัน โดย Mike ได้เผยว่าตอนนี้ทางรัฐนั้นกำลังมีการพิจารณาการแบนแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียจากประเทศจีน โดยอ้างว่าแอปฯ เหล่านี้นั้นมีการแบ่งปันข้อมูลให้กับทางรัฐบาลจีน

อย่างไรก็ตามแต่ทาง TikTok ได้ออกมาโต้กลับทาง Mike ว่า “TikTok นั้นถูกนำโดย CEO ชาวอเมริกัน และมีพนักกว่าร้อยชีวิตทำงานอยู่ในสหรัฐฯ เราไม่มีจุดมุ่งหมายอื่นเหนือไปกว่าการโปรโมทแอปพลิเคชันที่มีความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน เราไม่เคยให้ข้อมูลผู้ใช้งานให้กับทางรัฐบาลจีน” 

โดยในตอนนี้ทางเพนตากอนได้มีคำสั่งให้ทางกองทัพอเมริกันนั้นลบแอปฯ TikTok ออกจากโทรศัพท์สมาร์ทโฟนทุกเครื่อง ซึ่งทางเพนตากอนได้ให้เหตุผลว่ามีเพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล ซึ่งการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการลบแอปฯ นี้ออกจากสมาร์ทโฟน

จากข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวในหลาย ๆ ประเทศ บวกกับความตึงเครียดระหว่างอินเดีย-จีนนั้นทำให้ TikTok นั้นตกอยู่ในที่นั่งลำบาก จากการเสียฐานผู้ใช้งานที่ใหญ่ที่สุดจากอินเดียจากข้อขัดแย้งระหว่างรัฐบาลอินเดียและจีน และถ้าหากสหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะแบน TikTok เป็นรายต่อไป ทางบริษัทนั้นจะเสียฐานผู้ใช้ที่สำคัญไปอีกหนึ่งประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของทางบริษัทอย่างแน่นอน นี่คงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของ TikTok ในการสร้างความมั่นใจให้กับประเทศต่าง ๆ ว่าทางบริษัทนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับทางการจีนและไม่มีการจัดเก็บข้อมูลให้กับแหล่งข้อมูลภายนอกใด ๆ 


อ้างอิง: Forbes, Wired, NYTimes


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

Apple Vision Pro ขายไม่ดีอย่างที่คิด Apple ลดคาดการณ์ยอดขายกว่าครึ่ง ปรับแผนใหม่

Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สาย Apple เผยว่า Apple ได้ลดตัวเลขยอดขาย Apple Vision Pro ในปีนี้เหลือเพียง 400-450,000 เครื่องเท่านั้น ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ (มากกว่า 700–800,000 เครื่อง)...

Responsive image

Apple ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 55% ตั้งเป้าสู่ Net Zero ในปี 2030

Apple เผยรายงานความก้าวหน้าด้านสิ่งแวดล้อม และประกาศปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก ประจำปี 2024...

Responsive image

สร้างวิดีโอสมจริง ใช้แค่รูปนิ่งกับคลิปเสียง รู้จักโมเดล VASA-1 ที่ Microsoft กำลังวิจัย

แค่ใช้รูปถ่ายกับคลิปเสียง ก็สามารถสร้างวิดีโอของเราได้แบบสมจริง ด้วยโมเดล VASA-1 ตัวใหม่จาก Microsoft ที่ต้องบอกว่าทั้งน่าทึ่ง น่าประทับใจ และน่ากลัวด้วย...