อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากรถยนต์สันดาป สู่เทรนด์การใช้รถไฟฟ้าแทน โตโยต้า หนึ่งในผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมนี้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน จึงเร่งเครื่องการผลิตและการลงทุนเพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดรถไฟฟ้า
ล่าสุด โตโยต้า มอเตอร์ เผยผลกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.9 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 31.8 พันล้านดอลลาร์ (สิ้นสุดปีงบประมาณในเดือนมีนาคม) เพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนลง และความต้องการรถยนต์ไฮบริดที่สูงขึ้น
“เราตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้ Generation AI ในส่วนของการพัฒนายานยนต์ให้มากขึ้น โดยเริ่มจากการขยายการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI” โคจิ ซาโตะ ประธานบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ กล่าวในงานแถลงผลประกอบการ
โตโยต้า ได้ประกาศแผนการลงทุนมูเพื่อส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและเทคโนโลยีไฮโดรเจน นอกจากนี้ โตโยต้ายังวางแผนจะลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล 380,000 ล้านเยน (89,000 ล้านบาท) เนื่องจากเล็งเห็นว่าบุคลากรคือผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมด และจะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วงให้องค์กรบรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน
โตโยต้ายังเน้นย้ำถึงการลงทุนครั้งนี้ว่า ต้องการเพิ่มการลงทุนใน AI, ซอฟต์แวร์, Data และพลังงาน จึงได้จัดสรรแผนการลงทุนภายใต้งบ 1.7 ล้านล้านเยนเพื่อลงทุนในส่วน AI, ไฮโดรเจน, แบตเตอรี่ EV และซอฟต์แวร์ต่างๆ
สำหรับเป้าหมายการลงทุนครั้งนี้ ผู้บริหารโตโยต้ากล่าวว่า แม้ช่วงนี้ตลาด EV จะชะลอตัวลง แต่บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนายานยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่รถ EV
โคจิ ซาโตะ ประธานบริษัทโตโยต้า มอเตอร์
โตโยต้ายังได้ประกาศผลประกอบการจากการดำเนินทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 5.3 ล้านล้านเยน (1.2 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 96.4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทำให้มีรายได้รวมอยู่ที่ 45 ล้านเยน (1 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้น 21.4% ถือเป็นสถิติสูงสุดที่ทำได้ เป็นผลมาจากความต้องการรถยนต์ไฮบริดมีอัตราที่สูงขึ้น ทั้งในอเมริกาเหนือ และยุโรป
ปีที่ผ่านมาโตโยต้าขายรถยนต์ได้มากกว่า 10.3 ล้านคันทั่วโลก ซึ่งเป็นการทำสถิติยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเพิ่มขึ้น 7.3% เมื่อเทียบกับยอดขายในปีก่อน สำหรับยอดขายรถยนต์ในจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย มียอดขายใกล้เคียงกับปีที่แล้ว (2023) อยู่ที่ 3.3 ล้านคัน
นอกจากนี้ ทางผู้บริหารยังได้ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับประเด็นร้อนก่อนหน้านี้ ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์แบรนด์ไดฮัทสุ ในเครือโตโยต้า มอเตอร์ มีประเด็นเกี่ยวกับการโกงผลการทดสอบรถ จนทำให้ต้องประกาศปิดโรงงานในประเทศทั้งหมดจนถึงช่วงต้นปีนี้ ล่าสุด โตโยต้า ได้ ประกาศว่าจะควบคุมการทดสอบ และรับรองด้านความปลอดภัยและมาตรฐานอื่นๆ เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมาอีกครั้ง
และจากเหตุการณ์ดังกล่าว โคจิ เอ็นโด ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ SBI Securities ได้คาดการณ์ว่า ผลประกอบการของโตโยต้าในปีนี้ว่า อาจไม่สดใสเหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องค่าเงินเยนที่อ่อนตัว และแนวโน้มยอดขายที่มีสิทธิ์ไม่ถึงเป้า
ด้าน โยอิจิ มิยาซากิ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ได้แชร์มุมมองเกี่ยวกับตลาดจีนว่า การเข้ามาของแบรนด์จีนทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงมากขึ้น และโตโยต้าก็พยายามไม่เข้าไปแข่งขันด้วย เพราะในตลาดนี้มีอุปทานสูงเกินไป ขณะเดียวกัน ตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวโน้มสำคัญที่พิสูจน์ให้เห็นว่าโตโยต้าในฐานะผู้เชี่ยวชาญ และมีเทคโนโลยีของตัวเองจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ตลาดได้ทันท่วงที
การลงทุนของโตโยต้าในครั้งนี้ ถือเป็นการเดินเกมที่น่าสนใจทีเดียว ช่วยให้บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด EV ที่จะมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและจริงจังในการก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
อ้างอิง Asia.Nikkei
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด