เมื่อเดดไลน์ภาษีทรัมป์มาถึง ประเทศไหนมีดีลแล้ว และไทยอยู่ตรงไหน ?

ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ โลกทั้งใบต้องจับตามองนโยบายภาษีการค้าของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเขย่าโครงสร้างเศรษฐกิจระหว่างประเทศอีกครั้ง ด้วยการเพิ่มภาษีแบบก้าวกระโดดต่อประเทศที่ยังไม่มีข้อตกลงกับสหรัฐฯ

หลังจากเลื่อนเดดไลน์มาแล้วสองรอบ ตั้งแต่ “วันปลดปล่อย” 2 เมษายน เป็น 9 กรกฎาคม และล่าสุดคือ 1 สิงหาคมนี้ สหรัฐฯ ได้เซ็นข้อตกลงกับเพียง 8 ประเทศเท่านั้นจากเป้าหมาย “200 ข้อตกลง” ตามที่ทรัมป์เคยประกาศไว้ แต่ความเป็นจริงคือ สหรัฐฯ ทำได้เพียง 8 ข้อตกลงใน 120 วัน

แม้หลายดีลจะดูไม่ชัดเจนหรือยังไม่มีผลทางกฎหมายที่แน่นอน แต่มันสะท้อนภาพใหม่ของภูมิทัศน์การค้าโลกในยุคที่การเจรจาไม่ได้อิงกับกติกาเสรีทางการค้าแบบเดิมอีกต่อไป

ทำไมภาษีทรัมป์ถึงสำคัญ ?

การเก็บภาษีในระดับสูงของสหรัฐฯ เป็นแรงกดดันที่ทำให้ประเทศคู่ค้าต้องรีบหาทางต่อรอง เพราะจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก ภายใต้แนวคิด “America First” ทรัมป์ใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการเจรจา กดดันให้ประเทศอื่นเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ มากขึ้น แลกกับการลดภาษี

ภาพรวมข้อตกลงภาษีทรัมป์ที่ทำกับประเทศต่าง ๆ

สหราชอาณาจักร: ประเทศแรกที่คว้าดีล

ในเดือนพฤษภาคม สหราชอาณาจักรกลายเป็นประเทศแรกที่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ โดยกรอบภาษีที่ตกลงกันคืออัตราพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้าจากอังกฤษ พร้อมข้อยกเว้นเฉพาะกลุ่ม เช่น ยานยนต์และอากาศยาน

แม้ทรัมป์จะพบกับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ที่สกอตแลนด์ในภายหลัง แต่ยังมีหลายประเด็นที่ไม่ชัดเจน เช่น ภาษีเหล็กและอลูมิเนียมที่สหรัฐฯ สัญญาจะลดลง รวมถึงภาษีบริการดิจิทัลที่ทรัมป์เรียกร้องให้ยกเลิก

เวียดนาม: ลดภาษีกว่าครึ่ง แม้เจรจาคลาดกัน

เวียดนามเป็นประเทศที่สองที่บรรลุดีล โดยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ทรัมป์ประกาศลดภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามจาก 46% เหลือ 20% พร้อมอ้างว่าเวียดนามจะเปิดตลาดเต็มรูปแบบให้สินค้าสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งจากฝั่งเวียดนามว่า อัตรา 20% ไม่ใช่สิ่งที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า โดยทีมเจรจาคาดว่าจะอยู่ที่ 11% เท่านั้น

อินโดนีเซีย: เปิดเสรีการค้าแบบกว้างขวาง

อินโดนีเซียสามารถลดภาษีจาก 32% เหลือ 19% และตกลงยกเลิกภาษีสำหรับสินค้าสหรัฐฯ กว่า 99% รวมถึงสินค้าเกษตรและพลังงาน พร้อมวาระร่วมในการจัดการอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers)

ฟิลิปปินส์: ลดเพียง 1% แต่ได้แรงสนับสนุน

แม้อัตราภาษีจะลดลงเล็กน้อยจาก 20% เหลือ 19% แต่ฟิลิปปินส์ได้รับการกล่าวชื่นชมจากทรัมป์ว่าเป็นประเทศที่เปิดตลาดเต็มที่โดยสหรัฐฯ ไม่ต้องเสียภาษีใดๆ พร้อมสัญญาความร่วมมือด้าน “การทหาร” ที่ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม

ญี่ปุ่น: ดีลที่ใหญ่ที่สุดในสายตาทรัมป์

ญี่ปุ่นตกลงลดภาษีนำเข้าสินค้าจาก 25% เหลือ 15% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ได้รับอัตราภาษีพิเศษ พร้อมคำมั่นว่าจะลงทุน 5.50 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์ระบุว่า 90% ของผลกำไรจะตกเป็นของประชาชนอเมริกัน

เส้นทางสู่ดีลนี้ไม่ได้ง่าย ทรัมป์เคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่คาดหวังว่าญี่ปุ่นจะยอมตกลง และเคยวิจารณ์ว่าญี่ปุ่นไม่ยอมรับข้าวจากสหรัฐฯ ทั้งที่ตนเห็นว่าประเทศกำลังขาดแคลนข้าวในประเทศ

สหภาพยุโรป: ดีลที่มาพร้อมแรงกดดัน

หลังจากการเจรจายาวนาน สหภาพยุโรปตกลงลดภาษีเหลือ 15% สำหรับสินค้าโดยรวม และลดภาษียานยนต์ รวมถึงสินค้าเครื่องบินและยาราคาถูกลงไปยังระดับก่อนเดือนมกราคม แม้จะได้ข้อตกลง แต่เสียงวิจารณ์ในยุโรปยังหนักแน่น โดยนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสระบุว่านี่คือ “การยอมแพ้” และ “วันที่มืดมน”

เกาหลีใต้: ดีลที่คล้ายญี่ปุ่น

เกาหลีใต้ได้ดีลลดภาษีเป็น 15% เช่นเดียวกับญี่ปุ่น พร้อมข้อเสนอการลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 3.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าจะเลือกสรรเองว่าธุรกิจใดได้รับเงินสนับสนุน

ไทย: ภาษีในระดับเดียวกับประเทศอาเซียนอื่นๆ

ล่าสุด รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้อัปเดตรายชื่อประเทศที่ได้รับการปรับอัตราภาษีนำเข้าอย่างเป็นทางการ โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ลดระดับภาษีตอบโต้” เหลือ 19% จากอัตราเดิม 36%

กลุ่มประเทศที่ยังไม่มีข้อตกลง

จีน: ศึกภาษียังยืดเยื้อ

จีนเผชิญอัตราภาษีสูงถึง 145% ในช่วงตอบโต้กัน ก่อนจะตกลงลดลงเป็น 30% (จีนส่งออก) และ 10% (สหรัฐฯ ส่งออก) หลังการประชุมที่เจนีวาเมื่อพฤษภาคม แต่การประชุมล่าสุดที่สตอกโฮล์มไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม และการพักรบจะหมดอายุ 12 สิงหาคม

อินเดีย: ภาษี 25% + โทษเพิ่มเติม

ทรัมป์ประกาศภาษี 25% พร้อมบทลงโทษ (ยังไม่ระบุ) โดยให้เหตุผลว่าอินเดียมีภาษีนำเข้าสูงเกินไป และยังทำการค้ากับรัสเซียในด้านพลังงานและอาวุธ

แคนาดา: ความตึงเครียดที่ยังเจรจาไม่จบ

แคนาดาถูกเก็บภาษี 35% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ทรัมป์ระบุว่าเหตุผลคือการนำเข้ายาจากแคนาดา และเตือนว่าหากแคนาดาตอบโต้ สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีอีก

เม็กซิโก: ยังไม่มีดีลใดๆ

เม็กซิโกจะโดนภาษี 30% และหากตอบโต้จะเจออัตราสูงกว่าเดิม ทรัมป์กล่าวว่ารัฐบาลเม็กซิโกยังไม่ได้ดำเนินการมากพอในการควบคุมการอพยพผิดกฎหมาย

ออสเตรเลีย: เสี่ยงโดนเพิ่ม

แม้ปัจจุบันจะถูกเก็บภาษีแค่ 10% เพราะมีดุลการค้าขาดดุลกับสหรัฐฯ แต่อัตราอ้างอิงอาจเพิ่มเป็น 15%-20% ในเร็ว ๆ นี้ โดยยังไม่มีรายงานว่าทั้งสองประเทศมีการเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการ

อ้างอิง: cnbc

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ซีอีโอ AWS ชี้ AI Agents จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต เราอาจได้เห็น AI Agent พันล้านตัวรันองค์กร

AWS ซีอีโอประกาศชัด AI Agents จะสร้างผลกระทบต่อโลกธุรกิจยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและ Cloud พร้อมเปิดยุคที่ ‘AI Agent พันล้านตัว’ ทำงานอัตโนมัติอยู่หลังองค์กรทั่วโลก เร่งผลตอบแทนทางธุรกิ...

Responsive image

วิกฤตสมองไหลใน Apple ไม่จบ ! ล่าสุด Meta ดึงตัว Alan Dye หัวหน้าทีมดีไซน์ Apple ผู้คุมออกแบบ Liquid Glass ใน iOS26

เจาะลึกสมองไหลใน Apple ปี 2025 เมื่อผู้เชี่ยวชาญ AI หลายคนย้ายไป Meta, OpenAI และ Cohere ส่งผลต่ออนาคต Apple Intelligence...

Responsive image

เจาะแผน 'Quick Win' รัฐ-เอกชน ผนึกกำลังดันครีเอเตอร์ไทยสู่อาชีพมั่นคง

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยน เมื่อเรากลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ 'ยอดผู้ใช้งาน TikTok แซงหน้า YouTube' อย่างชัดเจน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขอ...