ท่ามกลางข่าวด้านลบที่เกิดขึ้นกับ Uber ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ล่าสุด Travis Kalanick ก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ Uber แล้ว ภายใต้เสียงกดดันจากนักลงทุนในบริษัท โดย Uber เป็นบริการที่เขาก่อตั้งขึ้นในปี 2009 และได้รับเงินทุนมากกว่า 14 พันล้านดอลลาร์จากนักลงทุน ซึ่งปัจจุบัน Uber ได้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดกลายเป็นบริหารขนาดใหญ่แล้ว
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นรายใหญ่จำนวน 5 รายของ Uber ได้แก่ Benchmark, Lowercase, First Round, Menlo Ventures และ Fidelity ลงเสียงต้องการให้ Travis Kalanick ลาออกจากตำแหน่งในทันที ซึ่งอำนาจของผู้ถือหุ้นเมื่อรวมกันแล้วมีสัดส่วนการถือหุ้นมากกว่า ¼ ของหุ้นทั้งหมด และมีเสียงโหวตราว 40% ของเสียงโหวตทั้งหมด ทำให้เขาต้องลงจากตำแหน่งในที่สุด โดยยังคงมีตำแหน่งเป็นบอร์ดของบริษัทต่อไป
สาเหตุการลาออกของซีอีโออูเบอร์ครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาต่าง ๆ ที่ Uber แบกรับอย่างหนักมาตั้งแต่ต้นปี นับตั้งแต่กรณีที่ถูกพนักงานหญิงรายหนึ่งในบริษัทอ้างว่า ภายในองค์กรมีการล่วงละเมิดทางเพศ และการเหยียดเพศ จนนำไปสู่การลาออกของพนักงานระดับสูงหลายคน
ทั้งนี้ Travis Kalanick ได้กล่าวทิ้งท้ายก่อนโบกมือลาตำแหน่งว่า “เขารัก Uber มากกว่าอะไรในโลกนี้และนี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตของเขา เขายอมรับข้อเสนอของนักลงทุน เพื่อที่ Uber จะสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้”
ในขณะที่บริษัทได้กล่าวว่า “ในอีก 180 วันข้างหน้าพวกเรามุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อน Uber ให้ดีกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรารู้ว่ามีหนทางอันยาวไกลรออยู่ข้างหน้า และเราจะไม่หยุดจนกว่าเราจะไปถึงที่นั่น "
ซึ่งเมื่อ Kalanick ลาออก คำถามต่อมาคือ แล้วใครจะเข้ามาเป็นผู้บริหารของ Uber ต่อไป เพราะนี่เป็นบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาและเขายังคงถือหุ้นส่วนใหญ่อยู่ที่นี่อีกด้วย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด