ทำไมไทยโดนภาษีสหรัฐฯ 37% ? ภาษีตอบโต้จากทรัมป์ กระทบไทยอย่างไร สินค้าไหนเสี่ยงสุด ?

การประกาศใช้นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการค้าไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ กว่า 180 ประเทศ แต่สำหรับ ประเทศไทย ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงเป็นพิเศษ เมื่อถูกกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มสูงขึ้นถึง 36% และปรับเป็น 37% ในเวลาต่อมา

คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมไทยถึงโดนตั้งกำแพงภาษีที่สูงขนาดนี้ และการส่งออกอะไรของไทยที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีครั้งนี้บ้าง ?

ทรัมป์ ขึ้นภาษีประเทศไหนบ้าง ?

Reciprocal Tariff ที่ทรัมป์ประกาศออกมาแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ

1.Baseline Tariff

Baseline Tariffs เป็นภาษีศุลกากรพื้นฐานสำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดมายังสหรัฐฯ โดยผู้ที่นำสินค้าต่างประเทศเข้ามาในสหรัฐฯ จะเป็นผู้ที่ต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาล มีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 เมษายน เป็นต้นไป 

2.Worst Offenders Tariffs

ภาษีศุลกากรเฉพาะสำหรับ ‘กลุ่มประเทศที่ถูกมองว่ามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่สุด’ (worst offenders) โดยเป็นภาษีที่มีอัตราเรียกเก็บไม่เท่ากันตามแต่ละประเทศ ซึ่ง ‘ไทย’ ก็อยู่ในกลุ่มนี้ที่โดนเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 36%

ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่า ประเทศที่อยู่ในกลุ่ม Worst Offenders เรียดเก็บภาษีศุลกากรที่สูงกว่าสำหรับสินค้าสหรัฐฯ หรือมีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) ต่อการค้าสหรัฐฯ หรือได้กระทำการในลักษณะอื่นใดที่ทำให้สหรัฐฯ รู้สึกว่าเป็นการบ่อนทำลายเป้าหมายทางเศรษฐกิจของอเมริกา โดยคู่ค้าสำคัญที่ต้องเผชิญกับอัตราภาษีในลักษณะดังกล่าวได้แก่

  • สหภาพยุโรป (EU): 20%
  • จีน: 54%
  • เวียดนาม: 46%
  • ไทย: *36% (ถูกปรับเป็น 37% หลังจากประกาศ)
  • ญี่ปุ่น: 24%
  • กัมพูชา: 49%
  • แอฟริกาใต้: 30%
  • ไต้หวัน: 32%

ทำไมไทยถึงโดนเรียกเก็บภาษีนำเข้า 37% ?

สาเหตุที่แน่ชัดเบื้องหลังกำแพงภาษี 37% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ ยังไม่เป็นที่เปิดเผย อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ โดย รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ให้ข้อมูลกับฐานเศรษฐกิจว่า อาจเป็นการตอบโต้ทางภาษีที่สหรัฐฯ มีต่อไทย จากกรณีที่ไทยเคยเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ ถึง 72% 

หากมองอีกมุมหนึ่ง การตั้งอัตราภาษีที่สูงลิ่ว ก็อาจเป็นเครื่องมือต่อรองเชิงกลยุทธ์ เพื่อเปิดทางให้สหรัฐฯ สามารถเจรจาประเด็นดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าได้

อีกหนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจ และอาจให้คำตอบของตัวเลข 36% ในตอนแรก ได้มาจาก ดร. พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร 

ซีงได้ตั้งข้อสังเกตผ่านโซเชียลมีเดียว่า อัตราภาษีที่ทรัมป์กำหนดอาจไม่ได้คำนวณจากปัจจัยซับซ้อนอย่าง ช่องว่างอัตราภาษี (tariff gap) การกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) หรือการแทรกแซงค่าเงิน (currency manipulation) อย่างที่หลายคนพยายามวิเคราะห์

แต่ ดร. พิพัฒน์ ชี้ว่า ตัวเลขอัตราภาษีอาจคำนวณจากสูตรง่ายๆ คือ การนำตัวเลขการขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ มีต่อประเทศนั้นๆ (Trade Deficit) มาหารด้วยมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดจากประเทศนั้น (Imports) แล้วคูณด้วย 0.5 (หรือ 50%)

เมื่อแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์จะได้ประมาณ 36.35% ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราภาษี 36% ที่ทรัมป์ประกาศใช้กับไทยอย่างมาก และใกล้เคียงกับที่ประกาศใช้กับประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่ม Worst Offenders ด้วย

ความหมายของมุมมองนี้คือ การกำหนดนโยบายภาษีอาจไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ปัจจัยเชิงลึกด้านนโยบายการค้าเสมอไป แต่อาจเป็นเพียงการใช้สูตรคำนวณเชิงกลไกที่อิงจากตัวเลขทางสถิติการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการขาดดุลการค้า ซึ่งเป็นประเด็นที่ทรัมป์ให้ความสำคัญมาโดยตลอด 

อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจมาจาก KKP Research ที่เคยคาดการณ์ว่าไทยน่าจะตกเป็นเป้าสายตาต่อการขึ้นภาษีรอบนี้ โดยมี 3 ปัจจัยหลักคือ 

1.การเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ของอาเซียน

กลุ่มประเทศอาเซียนมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นรองเพียงแค่จีนเท่านั้น ประเทศในกลุ่มอาเซียนจึงมีความเป็นไปได้ที่จะต้องเจอกับมาตรการกีดกันการส่งออกจากสหรัฐฯ ซึ่งแม้ว่าไทยจะไมไ่ด้เป็นประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากที่สุด แต่สหรัฐฯ อาจมองเหมารวมไทย และประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเป็นกลุ่มเดียวกัน

2.ไทยมีสินค้าที่ ‘จีน’ ใช้เป็นฐานผลิตส่งออกไปสหรัฐฯ

KKP Research ตั้งข้อสงสัยว่า กิจกรรมการค้าบางส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาคือ การหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐฯ ของจีน โดยใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ แผงโซล่า ที่มีปริมาณนำเข้าจากจีนมาไทยใกล้เคียงกับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นนี้สหรัฐฯ ทราบเป็นอย่างดี และต้องการเพิ่มมาตรการกีดกันสินค้าเหล่านี้

3. เพราะทรัมป์ รักการค้าอันเป็นธรรม ?

นโยบายที่ทรัมป์หาเสียงไว้คือ Reciprocal Trade Act ที่หากประเทศไหนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับสหรัฐฯ ก็จะโดนขึ้นภาษีกลับเท่ากันในสินค้าเหล่านั้น ซึ่งเป็นหลักการค้าอันเป็นธรรมตามมุมมองของทรัมป์ 

นอกจากนี้ ไทยอาจถูกมองว่ามีการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีในสินค้าบางกลุ่ม เช่น เนื้อวัว ที่ไทยมีการใช้มาตรการปกป้องผู้บริโภคจากสารเร่งเนื้อแดงของสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลในการขึ้นภาษีกับสินค้าไทยได้เช่นเดียวกัน

สินค้าอะไรที่ไทยน่าจะได้รับผลกระทบ ?

สำนักงานนโยบาย และยุธศาสตร์การค้ากระทรวงพาณิชย์ ได้ออกรายงานถึงกลุ่มสินค้าส่งออกสำคัญ 15 อันดับ ที่ไทยน่าจะได้รับผลกระทบเมื่อมีการบังคับใช้นโยบายภาษีใหม่ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 ได้แก่

  1. เครื่องโทรศัพท์รวมถึงสมาร์ทโฟนและเครื่องโทรศัพท์อื่น ๆ : มูลค่าการส่งออก 6,846.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  2. เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ : มูลค่าการส่งออก 6,093.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  3. ยางรถยนต์ : มูลค่าการส่งออก 3,513.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  4. อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ : มูลค่าการส่งออก 2,472.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  5. หม้อแปลงไฟฟ้า : มูลค่าการส่งออก 2,088.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  6. ส่วนประกอบและอุปกรณ์ของเครื่องจักร : มูลค่าการส่งออก 1,501.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  7. ส่วนประกอบและอุปกรณ์ของยานยนต์ : มูลค่าการส่งออก 1,404.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  8. เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณและส่วนประกอบ : มูลค่าการส่งออก 1,387.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  9. เครื่องปรับอากาศ : มูลค่าการส่งออก 1,273.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  10. เครื่องส่งวิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์ : มูลค่าการส่งออก 1,107.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  11. เครื่องพิมพ์ใช้สำหรับการพิมพ์ : มูลค่าการส่งออก 1,053.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  12. ของปรุงแต่งชนิดที่ใช้ในการเลี้ยงสัตว์ : มูลค่าการส่งออก 870.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  13. แป้น แผง คอนโซล โต๊ะ ตู้ และฐานรองอื่น ๆ (เช่น สวิตช์ ฟิวส์ เครื่องกำจัดกระแสเซอร์จ ปลั้ก กล่อง ชุมสายโทรศัพท์ : มูลค่าการส่งออก 861.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  14. ข้าว : มูลค่าการส่งออก 797.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  15. ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และอุปกรณ์ทำความเย็น : มูลค่าการส่งออก 742.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไทย ได้ผลกระทบอย่างไรบ้าง ?

ศูนย์วิจัยกสิกร คาดการณ์ว่า ผลกระทบต่อการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2568 อาจหดตัวที่ -10% เนื่องจากความต้องการสินค้าไทยของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าที่ไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิสก์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ ยางล้อ อาหาร ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยอาจไม่สามารถปรับลดราคาสินค้าเพื่อรักษาอุปสงค์ได้มากนัก

นอกจากนี้ ไทยอาจได้รับผลกระทบทางอ้อม ในด้านการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าจีน เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล้กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้า ของเล่น พลาสติก และโพลิเมอร์ เป็นต้น

รวมทั้งยังได้รับผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าในห่วงโซ่อุปทานไปยังคู่ค้า เช่น จีน อาเซียน EU ที่ส่งออกต่อไปสหรัฐฯ ลดลงเนื่องจากถูกตั้งกำแพงภาษีรอบใหม่สูงขึ้นไม่ต่างจากไทย

ไทย ทำอย่างไรต่อดี ?

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกแลถงการแสดงท่าที และแนวทางรับมือ โดยเน้นย้ำว่ารัฐบาลได้เตรียมแผนรับมือทั้งระยะสั้น-ยาวไว้แล้ว และเชื่อว่าจะบริหารจัดการไม่ให้กระทบ GDP ของประเทศ 

โดยในระยะสั้น มีการตั้งทีมเจรจานำโดยปลัดกระทรวงพาณิชย์ และคลัง ซึ่งเชื่อว่าสามารถต่อรองอัตราภาษี 36-37% ได้ พร้อมกำลังหาข้อสรุปเรื่องการเยียวยาผู้ประกอการส่งออกที่ได้รับผลกระทบ และจะรพิจรณาปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าของไทย รวมถึงเพิ่มความเข้มงวดในการตรวขสอบปญหาการส่งผ่านสินค้าจากจีน และสนับสนุนให้ผู้ส่งออกหาตลาดใหม่ ลดการพึ่งพิงตลาดเดียว

ส่วนในระยะยาว รัฐบาลจะมองหาแนวทางการสร้างสมดุลการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย เช่น อาหาร เกษตร เทคโนโลยีขั้นสูง HDD Data Center ไปจนถึง AI พร้อมกับใช้วิธีหารืออย่างสร้างสรรค์เพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และเกษตรของทั้งสองประเทศ

อ้างอิง : CNBC, BBC

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ซีอีโอ AWS ชี้ AI Agents จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต เราอาจได้เห็น AI Agent พันล้านตัวรันองค์กร

AWS ซีอีโอประกาศชัด AI Agents จะสร้างผลกระทบต่อโลกธุรกิจยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและ Cloud พร้อมเปิดยุคที่ ‘AI Agent พันล้านตัว’ ทำงานอัตโนมัติอยู่หลังองค์กรทั่วโลก เร่งผลตอบแทนทางธุรกิ...

Responsive image

วิกฤตสมองไหลใน Apple ไม่จบ ! ล่าสุด Meta ดึงตัว Alan Dye หัวหน้าทีมดีไซน์ Apple ผู้คุมออกแบบ Liquid Glass ใน iOS26

เจาะลึกสมองไหลใน Apple ปี 2025 เมื่อผู้เชี่ยวชาญ AI หลายคนย้ายไป Meta, OpenAI และ Cohere ส่งผลต่ออนาคต Apple Intelligence...

Responsive image

เจาะแผน 'Quick Win' รัฐ-เอกชน ผนึกกำลังดันครีเอเตอร์ไทยสู่อาชีพมั่นคง

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยน เมื่อเรากลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ 'ยอดผู้ใช้งาน TikTok แซงหน้า YouTube' อย่างชัดเจน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขอ...