Visa เอเชียแปซิฟิกเปิดตัว 6 บริการใหม่เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยให้ผู้บริโภคที่สำนักงาน Visa Asia Pacific ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 โดยไฮไลท์ได้แก่ Visa Intelligent Commernce ที่เป็นระบบ APIs พร้อมเชื่อมกับแพลตฟอร์ม AI ต่าง ๆ รองรับการซื้อ-ขายด้วย AI Agent แบบไร้รอยต่อ
นอกเหนือจากนี้ยังเปิดตัวระบบรับรองอัตลักษณ์ดิจิทัล (Digital Identity) ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างความปลอดภัยและการเชื่อมั่นต่อการทำรายการการเงินออนไลน์, บริการ Visa Flexible Credential หรือ Flex ซึ่งเป็นแหล่งรวมเงินเครดิต บัญชีเดบิต หรือคะแนนสะสม ณ จุดขาย ไว้ในที่เดียวให้ผู้ใช้สะดวกต่อการใช้จ่าย, การผสานสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin Integration), Visa Pay วอลเล็ตที่จะเชื่อมวอลเล็ตท้องถิ่นทั่วโลก และ Visa Accept ที่จะช่วยให้ผู้ค้ารายย่อยเข้าถึงการเรียกชำระเงินที่สะดวกสบายมากขึ้น
ไฮไลท์สำหรับการเปิดตัวครั้งนี้ได้แก่บริการ Visa Intelligent Commerce ระบบ APIs ที่จะเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มให้บริการ AI เพื่อให้คุณใช้คำสั่ง prompt ให้ AI ตัวโปรดช้อปปิ้งแทนคุณได้ ซึ่ง Jack Forestell หัวหน้าฝ่ายพัฒนาบริการและนวัตกรรมของวีซ่าชี้ว่าพัฒนาขึ้นมาเพื่อก้าวให้ทันโลกที่ทุกคนใช้ Agent AI ทำธุระแทนทุกอย่าง

หัวใจสำคัญของบริการนี้ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ บัตรที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับ AI, การโอนถ่ายชำระเงินที่ง่ายและปลอดภัย และระบบ Personalisation ที่ขับเคลื่อนโดย AI
ระหว่างการเปิดตัวครั้งนี้ Visa นำเสนอตัวอย่างการจองทริป ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นกระบวนการที่ใช้เวลากว่าชั่วโมงในการจัดการจองทุกอย่างเสร็จสิ้น แต่ด้วยบริการนี้ เพียงสั่งให้ AI agent จองทริปทั้งทริปให้ รวมทั้งจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม กิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงซื้อครีมกันแดด จากการใช้คำสั่งเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำได้ทั้งแนะนำไฟลท์บิน สถานที่ รวมราคาให้สรรพและรอสัญญาณสั่งซื้อจากตัวผู้ใช้ ในการนี้ Visa ร่วมมือกับผู้นำวงการณ์เอไออย่าง OpenAI, Perplexity, Microsoft และ Anthropic รวมถึงจับมือกับพาร์ทเนอร์ในภูมิภาคอย่าง Ant International, Grab และ Tencent และเริ่มให้บริการแล้วในแซนด์บ็อกซ์ของ Visa ที่เข้าถึงโดยพาร์ทเนอร์ซึ่งได้ลงทะเบียนและมีแผนในการขยายพื้นที่ต่อไปอีก 5 บริการใหม่ เสริมความปลอดภัย-ขยายความสะดวก
ในการนี้ Visa ยังได้เปิดตัวอีก 5 บริการที่เตรียมเข้าบริการในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ระบบรับรองอัตลักษณ์ดิจิทัล (Digital Identity) , Visa Flexible Credential หรือ Flex, การผสานสเตเบิลคอยน์ (Stablecoin Integration), Visa Pay และ Visa Accept นำเสนอโดยที.อาร์. รามจันทราน หรือ ราม หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และบริการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นผู้นำเสนอ
ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในโลกของการซื้อขายดิจิทัลคือการทำธุรกรรมแบบ "Guest Checkout" (ซื้อโดยไม่เข้าสู่ระบบ) ธุรกรรมเหล่านี้คิดเป็นประมาณ 50% ของ e-commerce และมีอัตราการฉ้อโกงสูงกว่าธุรกรรมแบบใช้บัตรจริงถึง 8 เท่า และมีอัตราการทำธุรกรรมสำเร็จน้อยกว่าการทำธุรกรรมแบบเข้าสู่ระบบ 6% ซึ่งรามกล่าวว่า Visa พยายามแก้ปัญหานี้ผ่าน 3 แนวทาง

เป็นโซลูชันที่ช่วยเชื่อมแหล่งเข้าถึงเงินรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง เครดิต เดบิต ยอดคงเหลือสกุลเงินดิจิทัล หรือแม้แต่คะแนนสะสม ให้เหลือเพียงหมายเลขบัตร 16 หลักเพียงชุดเดียว โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ประสบการณ์ของผู้บริโภค ณ จุดขายเป็นไปได้อย่างง่ายขึ้น ไม่ต้องสาละวนจัดการบัตรจริงหลากหลายใบ หรือต้องจัดการข้อมูลดิจิทัลจำนวนมากภายในโมบายวอลเล็ต เป็นต้น
Visa ยังบอกว่าบริการนี้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ตัวผู้บริโภคเองด้วย ตัวอย่างเช่น เมื่อต้องการซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูงผู้ใช้สามารถสลับบัตร Flex เพียงใบเดียวระหว่างโหมดเดบิตและโหมดเครดิตผ่านแอปพลิเคชันธนาคารของตนได้ทันที หรือตั้งโปรแกรมอัตโนมัติว่า หากเป็นการซื้อของในราคาไม่แพงมากก็ให้ตัดจากบัญชีเดบิต ส่วนธุรกรรมขนาดใหญ่ให้ตัดจากวงเงินเครดิต เป็นต้น นอกจากนี้ยังขยายไปถึงการแปลงคะแนนสะสม หรือแม้แต่ยอดคงเหลือคริปโตให้เป็นเงินสดที่ใช้จ่ายได้อีกด้วย
มีการนำ Visa Flex ไปใช้แล้วในญี่ปุ่น นำร่องโดยธนาคาร SMBC ผ่านผลิตภัณฑ์ "Olive" ซึ่งข้อมูลจากเดือนกรกฎาคม 2024 ระบุว่ามียอดสะสมบัตร Flex แล้วกว่า 3 ล้านใบ นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2023 รวมแล้วใช้เวลาเพียง 16 เดือนเท่านั้น ผลิตภัณฑ์นี้ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ธนาคารออกบัตรเนื่องจากลดความจำเป็นในการออกบัตรพลาสติกใหม่จำนวนมาก โดยประเทศต่อไปที่เตรียมใช้ผลิตภัณฑ์นี้ได้แก่เวียดนาม ซึ่ง Visa เผยว่า ธนาคารอย่าง ACB, VIVIB และ VP Bank เตรียมเปิดตัวบริการนี้ในกรอบ 60-90 วันนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
Visa กำลังเร่งผลักดันการผสาน Stablecoin เข้ากับระบบนิเวศการชำระเงิน โดยชี้ว่า Stablecoin มีศักยภาพในการปรับปรุงการเคลื่อนย้ายเงินทั่วโลกให้ทันสมัย และอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถจัดการการใช้เงินติดโปรแกรม (programmable money) ได้
ในที่นี้จะครอบคลุมสามกรณีการใช้งานหลัก ซึ่งรวมถึงออกแบบห้ลูกค้าสามารถใช้ข้อมูลรับรอง Visa เพื่อซื้อ Stablecoin ด้วยสกุลเงิน Fiat และชำระเงินโดยการแปลง Stablecoin กลับเป็นสกุลเงิน Fiat ในขณะเดียวกันก็หวังจะวางตำแหน่งให้ Visa เป็นผู้เล่นหลักในการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้โดยมองว่าเป็นการเสนอทางเลือกที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้บริโภคและภาคธุรกิจเพื่อให้ธุรกรรมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เป็น Mobile Wallet ที่ออกมาเพื่อตอบสนองตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีดิจิทัลวอลเล็ตเป็นจำนวนมาก แต่มีข้อจำกัดทางด้านภูมิศาสตรเช่น ที่ไม่สามารถใช้ Mobile Wallet ของสิงคโปร์ในฟิลิปปินส์ได้ ซึ่งจำเป็นต้องดาวน์โหลดและจัดการแอปพลิเคชันท้องถิ่นหลายตัว ทำให้เมื่อเดินทางแต่ละครั้งต้องดาวน์โหลดวอลเล็ตท้องถิ่นหลายตัว Visa Pay จึงตั้งเป้าเป็นวอลเล็ตที่มีความเป็นสากล สามารถใช้ครอบคลุมได้ทั่วโลก ทั้งหน้าร้านและทางออนไลน์
วิธีการใช้ สามารถลงทะเบียนได้ผ่านแอพลิเคชันของธนาคาร ธุรกรรมที่ดำเนินการผ่าน Visa Pay จะถูกแปลงเป็นโทเค็นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันการบันทึกหรือส่งข้อมูลบัตรจริงโดยตรง
ปัจจุบัน Visa Pay กำลังอยู่ในระหว่างการทดลองในฟิลิปปินส์และเวียดนาม โดยมีแผนจะขยายการให้บริการในวงกว้างทั่วทั้งภูมิภาค

เป็นบริการที่ทำให้พ่อค้าแม่ขายรายย่อยไม่ต้องง้อเครื่องอ่านบัตรอีกต่อไป เพราะผลิตภัณฑ์นี้ทำให้การเงินผ่านการจ่ายด้วยบัตรง่ายขึ้นมาก ๆ เพียงแค่แตะกับสมาร์ทโฟนที่ดาวโหลดแอพลิเคชันของธนาคารหรือสถาบันทางการเงินที่ออกบัตร เหมาะกับพ่อค้าแม่ขายรายย่อย
โดยผู้ขายจะต้องมีโทรศัพท์มือถือที่รองรับการใช้งาน NFC และลงทะเบียนในธนาคารที่ตนใช้บริการ เริ่มต้นรับชำระเงินด้วยบัตรผ่านฟังก์ชัน Tap to Pay หรือสร้าง QR Code สำหรับการสแกน ส่งลิงก์การชำระเงินผ่าน SMS หรืออีเมลได้ คุณสมบัติสำคัญของบริการนี้คือสามารถรับชำระเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ขายโดยตรงแบบเกือบเรียลไทม์ผ่าน Visa Direct ปัจจุบันมีการใช้แล้วในลาตินอเมริกา และวีซ่ามองว่าจะเป็นประโยชน์ต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นอย่างมากเนื่องจากธุรกิจขนาดเล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญของ GDP ของแต่ละประเทศ บริการนี้ยังจะช่วยลดการพึ่งพาเงินสดหรือการชำระเงินผ่านการโอนเข้าบัญชีด้วยมือซึ่งมีความปลอดภัยน้อยกว่า
บรรยากาศการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เป็นไปอย่างคึกคักพรั่งพร้อมด้วยสื่อมวลชนจากประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยคำถามหลัก ๆ ที่ได้รับความสนใจอยู่ที่ข้อท้าทายในการสร้างความปลอดภัยเมื่อมี AI เข้ามาเกี่ยวข้อง และปัจจัยเมื่อหลายอย่างขึ้นอยู่กับการควบคุมของผู้ใช้งานย่อมมีช่องโหว่ที่ไม่อาจคาดถึง ซึ่ง Visa รับว่าเมื่อเริ่มมีการใช้อย่างแพร่หลายก็คงได้เห็นตัวอย่างในการใช้ที่หลากหลายยิ่งขึ้น โดยยืนยันว่าบริการของ Visa เป็นระบบ API ที่ผูกกับบริการแพลตฟอร์ม Generative AI และทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของทั้งการให้บริการของแต่ละแพลตฟอร์มและการบังคับใช้กฎหมายของแต่ละประเทศ และข้อมูลดิบ (raw data)ในส่วนของการชำระซื้อสินค้านั้นจะไม่ถูกเปลี่ยนมือไปยังแพลตฟอร์มอื่น แต่จะอยู่ในการดูแลของ Visa ทั้งหมด

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด